จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

นั่งรถหรือเดินดี

 
 

เรื่อง นั่งรถหรือเดินดี

You know? , love is just like someone waiting for a bus.
คุณรู้ไหม ความรักมันก็เหมือนกับการรอรถเมล์

When the bus comes, you look at it and you said to yourself.
เมื่อรถเมล์มา คุณมองไปที่มัน และเอ่ยกับตัวเองว่า

“Eee…… so full….. cannot sit down one”
“อี๋.....คนเพียบเลย ไม่มีที่นั่งด้วย”

So you said to yourself, “I’ll wait for the next one”
แล้วคุณก็พูดกับตัวเองว่า “ฉันรอคันต่อไปดีกว่า”

So you let the bus go and waited for the second bus.
แล้วคุณก็ปล่อยให้รถเมล์คันนั้นผ่านคุณไป แล้วรอรถเมล์คันที่ ๒

Then the second bus came, you looked at it and you said,
เมื่อรถคันที่ ๒ นั้นมา คุณมองไปที่รถเมล์นั้นแล้วเอ่ยว่า

“Eee…. this bus so old… surely very uncomfortable one”
“อี๋....รถเก๊าเก่า เก่าซะยิ่งกว่าเก่า มันต้องนั่งไม่สบายแน่เลย”

So you let the bus go and again, decided to wait for the next bus.
แล้วคุณก็ปล่อยให้รถเมล์คันนั้นผ่านไปอีกครั้ง และตัดสินใจที่จะรอรถเมล์คันต่อไป

After a while another bus came,
หลังจากนั้นรถเมล์อีกคันก็มาถึง

It’s not crowded, not old but you said,
คราวนี้มีคนไม่เยอะ และรถก็ไม่เก่าแต่คุณก็ยังบอกอีกว่า

“Eee…. no air-con one…. and the weather is so warm, better wait for the next one”
“อี๋.....แอร์ก็ไม่มี ตอนนี้อากาศร้อนจะตาย รอรถคันใหม่ดีกว่า”

So again you let the bus go and decided to wait for the next bus.
อีกครั้งหนึ่งที่คุณปล่อยให้รถเมล์ผ่านคุณไป และตัดสินใจที่จะรอรถอีกคัน

Then the sky started to get dark as it is getting late.
ท้องฟ้าชักเริ่มครึ้มๆ และมันก็เริ่มสายแล้ว

You panicked and jump on to the next on coming bus.
คุณชักเริ่มกระวนกระวายในการรอรถเมล์คันต่อไปที่กำลังมา

It is not until much later that you found out that you had boarded on to the wrong bus.
มันก็ไม่เป็นอย่างที่คุณหวัง จนกระทั้งในภายหลังคุณได้ค้นพบว่าคุณได้ขึ้นรถเมล์ผิดคัน

So you wasted your time and money waiting for what you want.
คล้ายๆกับคุณยอมที่จะเสียเงินและเวลา เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

Even if a bus came, can you ensure that the air-con bus won’t break down or whether will the air-con be too cold for you?
ถึงแม้ว่ารถเมล์จะมา คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่ารถเมล์ติดแอร์คันนั้นแอร์จะไม่พัง หรือแอร์จะไม่เย็นจนเกินไปสำหรับคุณ

So, People wanting to get what they want are not wrong.
ผู้คนต้องการที่จะได้อย่างที่เขาต้องการมันไม่ผิดหรอก

But it wouldn’t hurt to give other people a chance right?
แต่คุณจะไม่ปวดร้าวบ้างเหรอ ที่คุณหยิบยื่นโอกาสที่ตัวเองควรจะได้ ให้คนอื่นไป

If you found that the “bus” doesn’t suit you,
ถ้าหากว่าคุณเจอรถเมล์คันนั้น คันที่ไม่เหมาะกับคุณ

Just press the red button and get off the bus.
ก็เพียงแค่กดปุ่มสีแดง(ปุ่มจอด) แล้วลงจากรถเมล์เท่านั้นก็จบ

But wait…., I’m sure you have this experience before.
แต่เดี๋ยวก่อน ผมแน่ใจเลยว่าคุณต้องเคยมีประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน

You saw a bus coming (The bus you want of course)
คุณเห็นรถเมล์กำลังวิ่งมา (แน่นอนว่ามันเป็นรถเมล์คันที่คุณต้องการ)

You flagged it but the driver act blur by pretending not seeing you and zoomed pass you!
คุณโบกมือเรียกให้รถหยุด แต่คนขับดันเบลอโดยทำแกล้งทำเป็นไม่เห็นคุณ และก็มองผ่านคุณไปเฉยเลย

Well, and when the bus zoomed pass, what you may have to do is WALK!!!!
เอาละ และเมื่อรถเมล์ที่คุณต้องการผ่านไปแล้ว สิ่งที่คุณอาจจะต้องทำก็คือเดิน

The bottom line is being loved is like waiting for a bus whether you want to get on the bus and give the bus a chance depends totally on you.
ในท้ายที่สุดในเรื่องของความรักนี้มันก็คล้ายๆกับคุณกำลังรอรถเมล์สักคันที่คุณต้องการจะขึ้น และให้โอกาสรถเมล์นั้นสักครั้ง ทีนี้ก็สุดแล้วแต่คุณเลย

And walking is like being out of love.
และการเดินนั่นแหละที่เหมือนกับว่าคุณกำลังปล่อยให้ความรักหลุดลอยไป

You never lose by loving.
คุณจะไม่มีวันสูญเสียอะไรเลยเมื่อคุณได้รัก

You always lose by holding back.
คุณจะสูญเสียเสมอเมื่อคุณไม่เปิดใจ

อย่าปล่อยให้คนที่เข้ามาหลงชอบคุณ แต่เป็นคนที่คุณไม่สนใจ ไม่ใช่คนที่คุณต้องการ อาจจะไม่สวยหล่อไม่ใช่สเปคคุณ แล้วปล่อยให้เขาผ่านไปหรือจากคุณไป เมื่อเขาออกไปจากชีวิตคุณ คุณอาจจะเพิ่งเริ่มรู้สึกก็ได้ว่า เขามีความสำคัญต่อคุณแค่ไหน และในตอนนั้น คุณอาจจะไม่มีโอกาสที่จะดึงเขากลับมาอีกแล้ว


เครดิต: Forward Mail  


 
 


วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ก้อนหินวิเศษ

 
 
เรื่อง ก้อนหินวิเศษ

นานมาแล้วได้ยินมาว่ามีหินวิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง ถ้าผู้ใดที่ได้ครอบครองจะสามารถนำไปแตะกับสิ่งของอะไรก็ได้สิ่งนั้นจะกลายเป็นทองคำ ทำให้ชายผู้หนึ่งเกิดความสนใจอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นคนร่ำรวยขึ้นมา จึงตามหาหินก้อนนั้นเป็นการใหญ่ เมื่อตามหาจนถึงชายหาดแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหิน เขาตัดสินใจเก็บหินขึ้นมาดูทีละก้อน ถ้าก้อนไหนไม่ใช่ก็จะขว้างมันลงทะเลไป เขาใช้ความพยายามอยู่นาน จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี ก้อนแล้วก้อนเล่าก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาค้นหาอยู่ดี

และในที่สุดความพยายามของเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้ เขาได้พบกับหินวิเศษจริงๆ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไร เขาก็ขว้างมันลงทะเลไปเหมือนหินก้อนที่ผ่านๆมา เขาตกใจมากถึงกับรำพันออกมาว่า “ต้องเริ่มต้นใหม่อีกแล้วหรือเนี่ย” ในชายหาดนั้นจะมีหินวิเศษชนิดนี้สักกี่ก้อนกันเชียว เหตุผลที่ทำให้ชายคนนี้ละทิ้งสิ่งที่เขาค้นหามานานก็คือ “ความเคยชิน” นั่นเอง บ่อยครั้งที่เราพยายามค้นหาสิ่งที่ต้องการมาตลอดชีวิต จนกระทั้งวันหนึ่งที่เรามี “โอกาส” พบมันแล้ว แต่ด้วย “ความเคยชิน” ในชีวิตประจำวัน เราก็มองข้าม “โอกาส” นั้นไป “โอกาส” ที่อาจจะไม่ปรากฏบ่อยนัก เราจึงต้องเริ่มต้นใหม่อยู่ร่ำไป

อย่าคิดแต่จะเริ่มต้นใหม่ เพราะสิ่งที่มีอยู่คือ “โอกาส” สิ่งใหม่คือ “ความหวัง” ทิ้งเก่าไปหาใหม่ก็เท่ากับทิ้งโอกาสที่มีอยู่แล้ว ไปรอความหวังที่ยังมาไม่ถึง


เครดิต: Forward Mail  

 
 


วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความรักกับรองเท้า

 
 
เรื่อง ความรักกับรองเท้า
 
นิยามความรักของคุณคืออะไร ส่วนของเรา ความรักก็เหมือนกับรองเท้า

รองเท้าแตะส่วนมากขายตามร้านทั่วไป ดังนั้นเวลาเราไปเห็นก็ไม่เคยจะนึกสนใจ มีคนเสนอขายให้ราคาถูกๆก็ไม่เคยคิดจะซื้อ แต่พอจำเป็นเข้าจริงๆก็ต้องไปซื้อมาแก้ขัดก่อนอยู่ดี

รองเท้าบางคู่ใส่ใหม่ๆอาจรู้สึกสบาย แต่ถ้าใส่นานๆเข้าอาจจะรู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะกับเรา อยากจะถอดทิ้งซะเหลือเกิน รองเท้าบางคู่ลองใส่ที่ร้านแล้วรู้สึกแปลกๆ อาจมีบ้างที่คับไปหรือหลวมไป แต่ใครจะรู้ว่า บางทีพอใส่ไปซักพัก หนังอาจจะขยายพอดีกับเท้าของเรา จนรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกคู่นี้

รองเท้าบางคู่ดูภายนอกอาจตลก แต่รู้ไหมว่าบางทีเมื่อมันมาอยู่คู่กับเท้าของเรา อาจจะทำให้ทั้งเท้าของเราและรองเท้าดูดีผิดหูผิดตาไป ส่วนรองเท้าคู่ไหนที่เห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี ก็ไม่แน่เสมอไปว่ามาอยู่กับเราแล้วจะดีเหมือนอยู่กับคนอื่น

เคยเจอไหม ใครที่มีรองเท้ามากมายเกินความจำเป็น เขาเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่โปรด ตราบเมื่อเขาได้เสียรองเท้าคู่นั้นไป ซึ่งมันอาจจะสายเสียแล้วที่จะทวงคืน

แล้วรองเท้าตามโรงแรมล่ะ รองเท้าสาธารณะเหล่านั้นที่ได้ผ่านเท้าของผู้คนมามากมาย บางคู่อาจยังใหม่ บางคู่อาจดูโทรม ส่วนบางคู่อาจจะนำพาโรคมาสู่ผู้ใส่ แต่รองเท้าสาธารณะเหล่านี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ยากมากที่จะมีคนมาขอซื้อเป็นเจ้าของ หรือแทบจะไม่มีเลย นอกเสียจากซื้อไว้ดูเล่น หรือซื้อเอาไว้ใช้แก้ขัดชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งก็อาจไม่มีทางได้สัมผัสกับความรักระหว่างเจ้าของกับรองเท้า เฮ้อ น่าส่งสารจัง

รองเท้าที่เหมาะกับเราหาไม่ยากและไม่ง่าย แต่ถ้าเดินไปแล้วเจอคู่ที่ถูกใจ อยากบอกว่าให้รีบตัดสินใจซื้อก่อนที่จะถูกคนอื่นมาชิงตัดหน้าไปก่อน ซึ่งรองเท้าคู่นั้น อาจจะเป็นคู่เดียวในโลกที่เหมาะกับเรามากที่สุดก็ได้ ส่วนรองเท้าบางคู่ที่ไม่เหมาะกับเรา ใส่แล้วไม่รู้สึกสบาย ขอแนะนำว่าอย่าพยายามใส่ต่อไปอีกเลย มีแต่จะทำให้เราทรมาน เพราะในที่สุดเราก็ต้องโยนทิ้งไปอยู่ดี

รองเท้าสมัยใหม่ดูแล้วกิ๊บเก๋ แต่รองเท้าสมัยเก่าใส่แล้วก็ดูดีไปอีกแบบ จะสมัยไหนก็ช่างเถอะ ขอให้ใส่แล้วสบายที่สุด และเมื่อเจอแล้วจงใส่มันอย่างทะนุถนอม จะได้อยู่กับเราไปนานเท่านาน

แต่ที่แน่ๆคุณจะไม่มีวันได้รู้หรอกว่ารองเท้าคู่ไหนเหมาะกับคุณที่สุด จนเมื่อคุณได้ลองใส่มันเท่านั้น

วันนี้คุณได้เจอรองเท้าที่คิดว่าเหมาะกับคุณที่สุดหรือยัง พยายามเสาะหาต่อไปนะ เราเชื่อว่าสักวันคุณจะได้เจอรองเท้าที่ดีที่สุดสำหรับคุณอย่างแน่นอน อย่าเลยนะ อย่าพยายามเดินเท้าเปล่าเลย เพราะถนนมีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเท้าของคุณมากมาย หารองเท้าสักคู่มาใส่ป้องกันก่อนดีกว่า แม้ว่าคู่นั้นอาจจะยังไม่ใช่คู่ที่ดีที่สุดสำหรับคุณก็ตาม


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

สีสันของชีวิต

 
 

เรื่อง สีสันของชีวิต

ถ้าสามารถย่อประชากรโลกเหลือเพียง ๑๐๐ คน
(ประชากรบนโลกมีประมาณ ๖,๐๐๐ ล้านกว่าคน)

โดยยังคงสัดส่วนต่างๆของประชากรไว้อย่างถูกต้อง จะมีสภาพดังนี้

๕๗ คนเป็นชาวเอเชีย
๒๑ คนเป็นชาวยุโรป
๑๔ คนอยู่ทางฝั่งตะวันตก ทางเหนือ และใต้
๘ คนเป็นพวกแอฟริกัน

๕๒ คนเป็นผู้หญิง
๔๘ คนเป็นผู้ชาย

๗๐ คนเป็นพวกที่ไม่ใช่ผิวขาว
๓๐ คนนับถือศาสนาคริสต์

๘๙ คนเป็นพวกที่มีเพศชัดเจนและชอบเพศตรงข้าม
๑๑ คนเป็นพวกที่ไม่แน่ใจในเพศอะไรและชอบเพศเดียวกัน

๖ คนเป็นพวกที่ร่ำรวยมากและมีทรัพย์สมบัติเท่ากับ ๕๙% ของความมั่งคั่งทั้งโลกรวมกัน โดยทั้ง ๖ คนนี้เป็นคนอเมริกัน

๘๐ คนอาศัยอยู่ในบ้านมีที่สภาพต่ำกว่ามาตรฐาน

๗๐ คนอ่านหนังสือไม่ออก

๕๐ คนเป็นโรคขาดสารอาหาร

๑ คนกำลังจะตาย และ ๑ คนกำลังจะเกิด

๑ คนมีโอกาสเรียนจนจบปริญญาตรี

๑ คนมีคอมพิวเตอร์ใช้

เมื่อมองโลกจากมุมข้างต้นนี้ เห็นได้ชัดว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญมาก รวมไปถึงจะต้องมีการยอมรับและการทำความเข้าใจในสภาพปัจจุบัน เป็นสิ่งสำคัญอย่างเห็นได้ชัด



เรื่องต่างๆอีกหลายเรื่องที่น่าคิดข้างล่าง

ถ้าท่านตื่นขึ้นในตอนเช้าและมีสุขภาพดีไม่เจ็บป่วย
ถือว่าท่านโชคดีกว่าคนอื่นอีกเป็นล้านที่ไม่มีชีวิตรอดผ่านสัปดาห์นี้ไปได้

ถ้าท่านไม่เคยอยู่ในสภาพสงคราม ไม่เคยติดคุก ไม่เคยถูกทรมาน ไม่เคยอดอยาก
ท่านยังโชคดีกว่าอีก ๕๐๐ ล้านคนบนโลกนี้

ถ้าท่านอยู่ในสภาพว่าไม่ต้องกลัวจะถูกจับถูกทรมาน หรือถูกฆ่า
ท่านโชคดีกว่าอีก ๓,๐๐๐ ล้านคนในโลกนี้

ถ้าท่านมีอาหารเก็บในตู้เย็น มีเสื้อผ้าให้ใส่ อาศัยอยู่ในบ้านที่มีหลังคา และมีที่ให้หลับนอน
ท่านร่ำรวยกว่าคน ๗๕% ของโลกนี้

ถ้าท่านมีเงินในธนาคาร มีเงินในกระเป๋า และมีเศษสตางค์ทิ้งไว้ที่ไหนในถ้วยสักแห่ง
ท่านเป็นหนึ่งใน ๘% ของประชากรที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

ถ้าพ่อแม่ของท่านยังมีชีวิตอยู่และยังอยู่ด้วยกัน
ถือเป็นเรื่องประเสริฐที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แม้แต่ในอเมริกาและแคนนาดา

ถ้าท่านได้อ่านบทความนี้ ถือว่าท่านโชคดี ๒ ชั้น ที่มีใครบางคนหวังดีกับท่าน และเหนือไปกว่านั้น ท่านโชคดีกว่าคนอีก ๒,๐๐๐ ล้านคน ที่อ่านหนังสือไม่ออกเลย



มีบางคนเคยพูดไว้ว่า “เรื่องที่ผ่านพ้นไปอย่างไร ก็จะกลับมาอย่างนั้น”

ทำงานเหมือนกับไม่ต้องการเงิน (ทำเพราะรักงาน)
รักให้เหมือนกับท่านไม่เคยเจ็บปวด
เต้นให้เหมือนกับไม่มีใครดู
ร้องเพลงให้เหมือนกับไม่มีใครฟัง
ใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุขเสมือนอยู่บนสวรรค์

ขอให้สุขสันต์ในทุกๆวัน เพราะตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ นั่นเท่ากับว่าเรามีโอกาสได้ทำดี ได้พบประสบการณ์ชีวิต สีสันของชีวิต


เครดิต: Forward Mail

 
 


วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

ความรักกับความผูกพัน

 
 
เรื่อง ความรักกับความผูกพัน

มีหลายคนสับสนกับคำสองคำนี้ “ความรัก” กับ “ความผูกพัน” มันคืออะไร ต่างกันอย่างไร หรือเหมือนกันไหมนะ ถ้าไม่มีความผูกพันก็เกิดความรักได้นี่หน่า แต่ถ้าเกิดความรักแล้วไม่มีความผูกพันล่ะ จะเป็นไปได้หรือเปล่านะ

สำหรับเรา ความรักกับความผูกพัน ไม่เหมือนกัน มันแตกต่างกัน

“ความรัก” เกิดขึ้นได้เสมอ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน กับใครก็ตาม บางครั้งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่สามารถตอบได้ ความรักคือการให้ การทุ่มเท การให้ความรู้สึกดีๆ ให้สิ่งที่เกินพอสำหรับใครสักคนที่เรารัก การทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข จนเหมือนกับว่าคนๆนั้นเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่น (ซึ่งจริงๆแล้วก็ใช่) ความรักจึงเป็นการทำเพื่อคนๆหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน สำหรับคนที่เรารัก ความคิดถึงความเป็นห่วงนะเกิดขึ้นตลอดเวลา เราจะห่วงว่าเขาไปไหน ไปกับใคร ความรักเกิดขึ้นได้แม้เพียงพบกันแค่นาทีแรก แค่เห็นหน้าเพียงครั้งแรกครั้งเดียว ความรักไม่จำเป็นต้องใช้เวลา แต่การจะทำให้ความรักคงอยู่หรือเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ นั่นต่างหากเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา และนำความผูกพันใส่ลงไป เพราะความผูกพันเป็นสิ่งที่ทำให้คนสองคนได้รู้จักกันมากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนสองคนปรับตัวเข้าหากัน ความรักจะคงอยู่ได้ หากความผูกพันเกิดขึ้น

“ความผูกพัน” นั้นต่างจากความรัก เพราะการผูกพันกับใครสักคน ไม่จำเป็นที่เราจะต้องรัก สำหรับความผูกพัน มันคือความรู้สึกคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น การที่เราคิดถึงคนๆหนึ่ง เวลาที่เราจากกัน เวลาที่ไม่ได้พบ ไม่ได้พูดคุย นั่นไม่ใช่ความรัก เราไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อเขา เราไม่ได้ต้องการให้สิ่งใดกับเขา ไม่ได้ห่วงว่าเขาจะไปกับใครเมื่อไหร่ที่ไหน แต่เราเพียงแค่คิดถึงความทรงจำที่ดี เวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน ดังนั้นความผูกพันจึงเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการใช้เวลา มันเป็นความทรงจำ เป็นความรู้สึก และไม่ใช่ความรัก เพราะเกิดได้กับทุกคน กับเพื่อนพี่น้อง หรืออาจเป็นใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เวลาอยู่ร่วมกัน มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความคิดถึง และเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดความรักนั่นเอง

ทั้งความรัก และ ความผูกพัน เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ร่วมกัน ถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างกันก็ตาม สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราจะแยกมันออกจากกันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง ว่าอันไหนคือความรัก อันไหนคือความผูกพัน เพราะจริงๆแล้ว มันแทบจะไม่ต่างกันเลย เพราะทั้งสองสิ่งควรจะมีอยู่คู่กัน

ปัญหาของความรักกับความผูกพันอยู่ตรงที่ บางคนไม่สามารถแยกได้ว่า ความรักกับความผูกพันต่างกันตรงไหน ความสับสนความลังเลจะเกิดขึ้น ถ้าหากวันหนึ่งคุณรักใครสักคน และมีความผูกพันกับใครอีกคน คุณจะตอบตัวเองได้หรือเปล่าว่าคุณจะเลือกใคร หากคุณคิดว่าคนที่คุณผูกพันคือคนที่คุณไม่สามารถลืมเขาได้ และคนที่คุณรักคุณก็ไม่สามารถเลิกรักได้เช่นกัน

จำไว้ว่า จงเลือกคนที่หัวใจคุณต้องการ อย่าใช้คำว่าถูกหรือผิด เพราะมันใช้กับความรักไม่ได้ แต่จงใช้หัวใจของคุณ หากคุณต้องการค้นหาใครสักคน ที่จะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอดชีวิต


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก (Good or bad, hard to say)

 
 
เรื่อง ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอ(Good or bad, hard to say)

Once upon a time, there was a king. The king liked one of his followers very much because he was very wise and always gave very useful advice. Therefore the king took him along wherever he went.
นานมาแล้วมีพระราชาพระองค์หนึ่ง พระราชาองค์นี้มีผู้ติดตามคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆที่
 
One day, the king was bitten by a dog, the finger was injured and the wound was getting worse. He asked the follower if that was a bad sign. The follower said, ‘Good or bad, hard to say’
แล้ววันหนึ่งพระราชาก็ถูกหมาตัวหนึ่งกัดนิ้ว แผลฉกรรจ์มาก พระราชาจึงถามผู้ติดตามคนสนิทว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า ผู้ติดตามคนสนิทกลับตอบว่า “ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก”

In the end, finger of the king was too bad that had to be cut. The king asked the follower again if that was a bad sign. Again, the follower gave the same answer, ‘Good or bad, hard to say’
ในที่สุดพระราชาก็ถูกตัดนิ้วและพระราชาก็ถามผู้ติดตามคนสนิทว่านี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า ผู้ติดตามคนสนิทกลับตอบว่า “ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก”

The king became very angry and sent the follower to prison.
พระราชาโกรธมาก เลยจับผู้ติดตามคนสนิทขังไว้ในคุก

One day, the king went hunting in the jungle. He got excited when he was on the chase of a deer. Deeper and deeper he went inside the jungle.
วันหนึ่งพระราชาได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์ พระองค์ทรงตื่นเต้นมากเมื่อพระองค์ได้ทรงไล่ตามกวางตัวหนึ่ง แล้วพระองค์ก็มุ่งเข้าไปในป่าลึกเข้าไปเรื่อยๆ

In the end he found himself lost in the jungle. To make things worse, he got captured by the native people lived inside the jungle.
เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบว่า พระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น

They wanted to sacrifice him to their God. But when they noticed that the king had one finger short, they released him immediately as he was not a perfect man anymore and not suitable for sacrifice.
คนป่าพวกนั้นต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ แต่พวกเขาก็พบว่าพระราชานิ้วขาด จึงรีบปลดปล่อยพระราชา เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย และไม่เหมาะที่จะนำไปบูชายัญ

The king managed to get back to his palace after all.
พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด

And he finally understood the follower’s wise quote, ‘Good or bad, hard to say’. If he hadn’t lost one finger, he could have been killed by the native people.
และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของผู้ติดตามคนสนิทที่บอกว่า “ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก” เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์ พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้นอย่างแน่นอน

He ordered to release the follower, and apologized to him.
พระราชาจึงสั่งปล่อยคนสนิท และขอโทษเขา

But to the king’s amaze, the follower was not mad at him at all. Instead, the follower said.
แต่พระราชากลับประหลาดใจ เมื่อผู้ติดตามคนสนิทกลับไม่โกรธพระองค์เลย ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า

‘It wasn’t a bad thing that you locked me up.’ Why? Because if the king hadn’t locked the follower up, he would have brought the follower along to the jungle. If the native found that the king was not suitable, they would have used the follower.
มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้ ทำไมงั้นหรือ เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็จะต้องตามท่านไปในป่า และในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญเป็นแน่

Again, the quote ‘Good or bad, hard to say’ stands.
อีกครั้งกลับคำที่ว่า “ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก”

The moral of the story is that everything that happens in this world, there is no absolute good or bad.
เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า ดีหรือไม่ดี

Sometimes good things turned out to be bad things eventually, while bad things become a gain.
บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย ในขณะที่สิ่งที่เลวร้าย อาจกลายเป็นดีได้

Whatever good things that happen to you, enjoy it, but don’t have to hold too tight to it, treat it as a surprise in your life.
สิ่งดีๆอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา จงสนุกกับมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของคุณ

Whatever bad things that happen to you, don’t have to feel too sad or despair, in the end, it might not be a total bad thing after all.
อะไรต่างๆที่มันเลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับคุณ ไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจหรือหมดอาลัยตายอยาก ในตอนท้าย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายไปซะทั้งหมด

If one can understand this, he or she will find life much easier.
ถ้าใครเข้าใจได้อย่างนี้ เขาหรือเธอนั้นจะพบว่า การใช้ชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย


เครดิต: Forward Mail

 
 


วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

ในมุมหนึ่ง อีกมุมหนึ่ง

 
 
เรื่อง ในมุมหนึ่ง อีกมุมหนึ่ง


ในมุมหนึ่ง
 
๑. หลายครั้งที่ฉันแอบมองหน้าเค้าเวลาที่เค้าเผลอ เค้าน่ารักมาก แต่ทำไมนะเค้าถึงไม่เคยแม้แต่จะชำเลืองมองฉันเลย

๒. หลายครั้งที่เค้าคุยกับผู้หญิงคนอื่น แต่ฉันกลับรู้สึกหึงไปมากมาย ทั้งที่เราเป็นแค่เพื่อนกัน แต่เค้ากลับไม่เคยที่จะแคร์ความรู้สึกฉันเลย

๓. หลายครั้งที่ฉันสารภาพอย่างอ้อมๆกับเค้าว่า ฉันแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เค้าก็รับฟังแล้วหัวเราะแล้วบอกว่า ดีแล้วละที่เธอมีความรัก แต่ใครหนอจะเป็นผู้ชายที่โชคร้ายคนนั้น

๔. หลายครั้งที่ฉันแกล้งทำสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น เพื่อหวังให้เค้ามีความรู้สึกว่าหึงบ้าง แต่เค้าก็ไม่เคยจะยินดียินร้ายสักนิด มิหนำซ้ำยังเข้าไปคุยกับผู้ชายคนนั้นอย่างดีหน้าตาเฉย

๕. หลายครั้งที่ฉันถามเค้าว่า ถ้าเกิดว่าเธอรู้สึกว่ารักใคร แล้วเค้าไม่เคยรักตอบ หรือแม้แต่จะมองมาเลย เธอจะรู้สึกอย่างไร เค้ากลับตอบว่า เรื่องของผม

๖. หลายครั้งที่ฉันไม่สบาย ฉันแค่อยากได้ยินคำว่า ทานยาหรือยัง เป็นห่วงนะ แต่เค้ากลับแค่มองแล้วก็เดินผ่านไป

๗. หลายครั้งที่ฉันอยากให้เค้าเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์ แต่เค้าบอกว่าไม่ดีหรอก เดี๋ยวแฟนเห็น

๘. หลายครั้งที่ฉันโทรไปหาเค้า พยายามคุยแบบเพื่อน เพื่อให้เค้าไม่อึดอัด แต่เค้ากลับพูดมาว่า ทำไมถึงต้องโทรมาด้วย อย่าทำให้ผมต้องพูดอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีออกไปนะ

๙. หลายครั้งที่ฉันอยากจะบอกความในใจออกไปให้เค้าได้รับรู้สักที แต่ทุกๆคำที่ฉันได้รับจากเค้า มันเพียงพอแล้ว ฉันไม่ต้องการที่จะบอกอะไรกับเค้า ฉันไม่เกลียดเค้าหรอก เพราะเค้ามีสิทธิที่จะเลือกรักหรือเกลียดได้ ห้ามหัวใจกันไม่ได้หรอก แต่ต่อไปนี้ฉันคงไม่กล้าที่จะมองเธอแล้วล่ะ ไม่คุย ไม่โทรไป หรือทำให้เธออึดอัดใจใดๆทั้งสิ้น ลาก่อนนะคนดี และลาก่อนความรักของฉัน
 

อีกมุมหนึ่ง
 
๑. หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าคุณแอบมองผมอยู่ คุณรู้ไหมว่ามันทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคุณ คุณน่ารักมาก ผมไม่เคยใจสั่นแบบนี้มาก่อนเลย สายตาคุณทำไมถึงได้ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้นะ

๒. หลายครั้งที่ผมต้องพยายามคุยกับผู้หญิงคนอื่นๆ เพื่อให้ไม่ได้คิดกับคุณมากไปกว่านี้ แต่ผมห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้เลย ทำไมนะ

๓. หลายครั้งที่คุณบอกผมว่า คุณแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งอยู่ คุณรู้ไหมว่า หัวใจผมมันเจ็บปวดแค่ไหน ทำไมถึงไม่เป็นผมนะ

๔. หลายครั้งที่ผมเห็นคุณสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น ผมทรมานมากเลยรู้ไหม ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า คุณมีแฟนแล้วสินะ สำหรับผม เพื่อนเท่านั้นที่คุณรู้สึกสินะ แต่ผมก็ยอมได้ เพื่อคุณ

๕. ทุกครั้งที่คุณถามผมว่า ถ้าผมไปหลงรักใครโดยที่เค้าไม่เคยมองเลย ผมจะทำยังไง ผมตอบคุณไปแล้วนะ เรื่องของผม คุณรู้ไหมว่านั้นเป็นคำพูดที่ผมตอบกับตัวเอง นั้นสินะ เรื่องของผมที่จะรักผู้หญิงคนนี้ โดยที่เค้าไม่เคยสนใจผมแม้แต่น้อย

๖. ทุกครั้งที่คุณไม่สบาย คุณรู้ไหมว่า ถ้าผมเจ็บแทนคุณได้ ผมจะไม่รอช้าเลยคนดี คุณรู้ไหมว่าผมมองเห็นเค้าคนนั้นเอายามาให้คุณ ผมไม่อาจทนดูภาพนั้นได้เลย อยากเข้าไปชกหน้าเค้า แต่ก็ทำไม่ได้ ผมจึงได้แค่มองแล้วก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ คุณคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมยืนมองอยู่นานแค่ไหน ด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ถุงยาในมือผมมันร่วงลงตอนไหนไม่รู้

๗. ทุกครั้งที่คุณบอกว่า จะให้ผมไปส่งคุณที่ป้ายรถเมล์ รู้ไหมผมตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้ไปส่งคุณ แต่ผมคงไม่ไปส่งคุณแค่ป้ายรถเมล์หรอก ผมอยากส่งคนที่ผมรักให้ถึงบ้านเลย แต่พอนึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้น แฟนคุณคนนั้น ผมไม่อยากให้คุณมีปัญหา ผมไม่อยากให้แฟนคุณเข้าใจผิด ผมถึงได้บอกกับคุณว่า ไม่ดีหรอก เดี๋ยวแฟนเห็น

๘. หลายครั้งที่คุณโทรหาผม หัวใจผมมันเต้นตามเสียงของโทรศัพท์ ผมไม่อยากรับโทรศัพท์คุณเลย ผมไม่อยากให้หัวใจผมมันรักคุณมากไปกว่านี้อีกแล้ว มันทรมาน และในที่สุด ผมก็ไม่อาจทนรอให้มันดังอย่างนั้นได้อีกแล้ว ผมรับและตัดสินใจบอกคุณไปว่า อย่าทำให้ผมต้องพูดอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีเลย (คุณรู้อะไรไหม เพราะผมกลัวว่าผมจะสรภาพความในใจกับคุณที่มันเก็บไว้มานานออกไป ผมกลัวใจตัวเองเหลือเกิน ถ้าผมเผลอพูดออกไป คุณคงรู้สึกไม่ดี คงเกลียดผมและเดินจากผมไป ผมไม่อยากให้คุณจากผมไปไหนทั้งนั้น ผมรักคุณนะ)

๙. แต่หลังจากวันนั้น ทำไมคุณถึงเมินเฉยกับผมนัก คุณรู้ตัวไหม สายตาที่คุณมองผมอย่างเย็นชานั้นน่ะ มันทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไร เป็นเหมือนเดิมได้ไหมคนดี กลับมาเหมือนเดิมกับผมได้ไหม แม้จะได้เป็นแค่เพื่อนกับคุณเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น แค่นี้ผมก็สุขใจแล้ว เพราะอะไร บอกผมสักคำ


บางทีสิ่งที่คุณเห็น หรือสิ่งที่คุณคิด จริงๆแล้วมันอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย คุณรักใครทำดีกับเขาให้มากๆ เพราะเขาก็อาจจะพยายามทำดีเพื่อคุณอยู่ก็ได้ โดยที่คุณก็ไม่เคยได้รู้เลย


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561

ชาวนากับลาแก่

 
 
เรื่อง ชาวนากับลาแก่

ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว
วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก ด้วยความโง่เขลาของมัน ดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา

ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาแก่เกินไปแล้ว อีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจ และรู้ชะตากรรมของตนทันที มันร้องโหยหวน

สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อสักสองสามพลั่ว ก็เหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลา ลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร มันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจที่เจ้าลาสามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมโหมกระหน่ำเข้ามาหาเรา ก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้ จงแก้ไขมัน เพื่อที่เราจะได้เหยียบมัน เพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น”

“อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้าม”

เป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่เจออุปสรรคจะมากบ้างหรือน้อยบ้าง จงทำให้ดีก็แล้วกัน

แปลและเรียบเรียงจาก นิทานจีนภาคภาษาอังกฤษ


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561

ความรักกับหนังสือ

 
 
เรื่อง ความรักกับหนังสือ

อย่าตัดสินหนังสือว่าดีแค่ปกสวยๆ

อย่าบอกว่าน่ารักเหลือเกิน แค่คุยกันหนเดียว

คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกที่ชอบไม่ได้

คนที่บอกว่าจะไม่แต่งงาน อาจจะแซงหน้าแจกการ์ดก่อนคนอื่นก็ได้

อย่าตกใจเมื่ออ่านหนังสือระดับ Best Seller แล้วไม่ชอบ

ถ้ารักคนๆเดียวกับที่คนอื่นรัก คงแย่งกันน่าดู

การชอบหนังสือสักเล่ม ไม่ได้หมายความว่า หนังสือเล่มนั้นเนื้อหาดีทุกหน้า

การรู้สึกดีกับใครสักคน ไม่จำเป็นว่า เขาต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย

อย่าเสียดายเวลา ถ้าอ่านหนังสือบางเล่มจนจบแล้วพบว่าไม่ใช่แบบที่ชอบ

จงรู้สึกดีกับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่ เพราะอย่างน้อยที่ผ่านมา ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างแน่นอน แม้วันหนึ่งจะรู้สึกว่าเขาหรือเธอคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด เพราะอย่างน้อยเราก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และพร้อมที่จะตามหาคนของเราต่อไป

การอ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลา เราไม่สามารถรู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก

หนังสือมีสิ่งต่างๆหลากหลายให้ศึกษา ทดลองอ่านดู ก่อนที่จะตัดสินว่าน่าเบื่อ

บางครั้งสิ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์และมองผ่านไป วันหนึ่งมันอาจจะมีค่าสำหรับเรา แล้วในตอนจบ ก็รู้ว่าหนังสือประเภทไหนเหมาะกับเราที่สุด

เหมือนกับความรัก ทุกครั้งที่เรามีความรักกับใครสักคนนั้น แม้ทุกอย่างจะเดินมาถึงจุดจบ แต่คนทั้งคู่ย่อมได้รับอะไรจากสิ่งต่างๆที่ผ่านมาโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยที่สุดก็ได้บทเรียนที่มีค่าเพิ่มอีกหนึ่งบทเรียน ที่จะนำไปสร้างความรักครั้งใหม่ให้มีรากฐานที่ดีกว่าที่ผ่านมา

สำหรับฉัน “ความรัก” เปรียบเหมือนการได้อ่านหนังสือหลายๆเล่ม (อ่านที่ละเล่มนะจ๊ะ) แต่ละเล่มที่ผ่านไป สอนให้เข้มแข็ง สอนให้รู้จักโลกที่เป็นจริง และสอนให้รู้จักใจของตัวเอง

แม้ว่าตอนจบของแต่ละเล่มจะไม่สมใจ แต่ฉันก็ไม่คิดจะหยุดท้อ หรือกลัวที่จะค้นหา ฉันจะอ่านต่อไป จนกว่าจะเจอ “หนังสือของฉัน”

แล้วคุณล่ะ เจอหรือยัง

ถ้าเจอแล้ว อย่าลังเลที่จะหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน อย่ากลัวที่จะเสียเวลาและผิดหวัง

ไม่แน่นะ เล่มที่อยู่ในมือตอนนี้น่ะ อาจตรงกับความรู้สึกของคุณที่สุดก็ได้


 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้