จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

กฎของเมล็ดพันธุ์ (The Law Of Seeds)

 
 

เรื่อง กฎของเมล็ดพันธุ์ (The Law Of Seeds)

Take a good look at an apple tree.
มองดูต้นแอปเปิ้ลต้นหนึ่งให้ดี

There might be five hundred apples on the tree and each apples has ten seeds. That’s a lot of seeds!
มันอาจจะมีผลแอปเปิ้ลอยู่ ๕๐๐ ผล และแต่ละผลมีเมล็ดพันธุ์อยู่ ๑๐ เมล็ด มันจึงมีเมล็ดพันธุ์จำนวนมากมาย

We might ask, “Why would you need so many seeds to grow just a few more trees?”
เราอาจจะถามว่า “ทำไมคุณถึงจำเป็นต้องการเมล็ดพันธุ์มากมาย เพื่อที่จะปลูกแอปเปิ้ลเพียงไม่กี่ต้น”

Nature has something to teach us here. It’s telling us “Most seeds never grow”.
ธรรมชาติมีอะไรบางอย่างจะสอนเราในเรื่องนี้ (ธรรมชาติมักจะบอกใบ้อะไรบางอย่างแก่เราเสมอ ถ้าเรามองเห็นมัน) มันกำลังจะบอกเราว่า “เมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่ไม่มีทางงอกขึ้นได้เลย”

So if you really want to make something happen, you had better try more than once.
ฉะนั้น ถ้าคุณปรารถนาจะให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ คุณควรพยายามทำสิ่งนั้นมากกว่าแค่ครั้งเดียว

This might mean.
นี่อาจจะหมายถึง

You’ll attend twenty interviews to get one job.
คุณอาจจะต้องสอบสัมภาษณ์ถึง ๒๐ ครั้งเพื่อจะให้ได้งานสักงานหนึ่ง

You’ll interview forty people to find one good employee.
คุณอาจจะต้องสัมภาษณ์คน ๔๐ คน เพื่อที่จะได้ลูกจ้างดีๆสักคน

You’ll talk to fifty people to sell one house, one car, one vacuum cleaner, one insurance policy, or a business idea.
คุณอาจจะต้องพูดกับคน ๕๐ คน เพื่อจะได้ขายบ้านหนึ่งหลัง, รถยนต์หนึ่งคัน, เครื่องดูดฝุ่นหนึ่งเครื่อง, กรมธรรม์ประกันภัยหนึ่งฉบับ หรือแนวความคิดด้านธุรกิจหนึ่งอย่าง

And you might meet a hundred acquaintances just to find one special friend.
และคุณอาจจะได้พบปะทำความรู้จักคนเป็นร้อยๆ เพียงเพื่อที่จะได้เจอเพื่อนดีๆสักคน

When we understand the “Law of the Seed”, we don’t get so disappointed.
เมื่อเราเข้าใจ “กฎของเมล็ดพันธุ์” เราก็จะได้ไม่ต้องรับกับความผิดหวัง

We stop feeling like victims. We learn how to deal with things that happens to us.
เราจะได้หยุดรู้สึกว่าเราเป็นเหยื่อสักที เราเรียนรู้วิธีการที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับเรา

Laws of nature are not things to take personally. We just need to understand them and work with them.
กฎของธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอามาใช้ได้โดยตรง เราเพียงแค่ต้องเข้าใจมัน และทำงานกับมัน

IN A NUTSHELL
โดยสรุปคร่าวๆคือ

Successful people fail more often. But they plant more seeds.
ผู้คนที่ประสบความสำเร็จก็ล้มเหลวได้บ่อยๆ แต่พวกเขาก็ใช้เมล็ดพันธุ์มากกว่า
(คือใช้ความพยายามมากกว่า ถึงจะประสบความสำเร็จ)

When Things Are Beyond Your Control, here’s a recipe for permanent misery.
เวลาอะไรๆไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด สูตรสำเร็จของคนที่อมทุกข์ก็คือ

A.) Decide how you think the world SHOULD be.
ก.) ตัดสินว่า โลกมันควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

B.) Make rules for how everyone SHOULD behave.
ข.) ตั้งกฎเกณฑ์ว่า ผู้คนควรจะประพฤติตัวยังไง

Then, when the world doesn’t obey your rules, get angry! That’s what miserable people do!
ต่อจากนั้น เมื่ออะไรๆไม่เป็นไปตามกฎของคุณ ก็โกรธซะงั้นเนาะ นั่นแหละคือสิ่งที่คนไร้ความสุขเขาทำกัน

One the other hand, let’s say you expect that.
ในอีกแง่หนึ่ง สมมุติว่าคุณคาดหวังสิ่งนั้นว่า

Friends SHOULD return favors.
เพื่อนควรจะตอบแทนอะไรคุณบ้าง

People SHOULD appreciate you.
ผู้คนควรจะชื่นชมคุณ

Planes SHOULD arrive on time.
เครื่องบินควรจะมาถึงตรงเวลา

Everyone SHOULD be honest.
ทุกๆคนควรจะเป็นคนซื่อสัตย์

Your husband or best friend SHOULD remember your birthday.
สามีหรือเพื่อนสนิทของคุณควรจะจำวันเกิดของคุณได้

These expectations may sound reasonable.
ความคิดความคาดหวังเหล่านี้ฟังดูมีเหตุผล

But often, these things won’t happen! So you end up frustrated and disappointed.
แต่บ่อยครั้ง สิ่งพวกนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น จากนั้นมันก็จบลงที่คุณรู้สึกรำคาญใจและผิดหวัง

There’s a better strategy: Demand less, and instead, have preferences!
มันมีกุศโลบายที่ดีกว่านี้ ลดความต้องการให้น้อยลง จากนั้นแทนที่ด้วยความพึงพอใจซะ

For things that are beyond your control, tell yourself:
สำหรับสิ่งต่างๆที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ ก็บอกตัวเองว่า

“ I WOULD PREFER AN “A” , BUT IF “B” HAPPENS, IT’S OK TOO!”
เราอยากจะให้เป็น “ก” แต่ถ้าเป็น “ข” ก็โออยู่นะ ได้เหมือนกัน

This is really a game that you play in your head. It is a shift in attitude, and it gives you more peace of mind.
มันเป็นการเล่นเกมความคิดที่อยู่ในหัวของคุณโดยแท้ มันคือการเปลี่ยนทัศนคติของคุณ และมันทำให้จิตใจของคุณสงบมากขึ้น

You prefer that people are polite. But when they are rude, it doesn’t ruin your day. You prefer sunshine. But if it rains, it is OK too.
คุณชอบคนที่สุภาพ แต่เมื่อไรที่พวกเขาหยาบคายขึ้นมา มันก็ไม่ได้เป็นบ่อนทำลายวันของคุณ คุณชอบแสงแดดปลอดโปร่งมากกว่า แต่ถ้าฝนตก ก็ได้ไม่เป็นไร

To become happier, we either need to:
การที่จะมีความสุขมากขึ้น เราจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

A.) Change the world, or
ก.) เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ หรือ

B.) Change our thinking.
ข.) เปลี่ยนแปลงความคิดของเราเอง

It is easier to change our thinking!
เปลี่ยนแปลงความคิดของเรามันง่ายกว่านะ

IN A NUTSHELL
โดยสรุปคร่าวๆคือ

It’s not what happens to you that determine your happiness.
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดความสุขของคุณ

It’s how you think about what happens to you.
มันเป็นสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง ว่ามันเป็นอย่างไรต่างหากล่ะ


เครดิต: Forward Mail


 
 

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2562

ไม่บริสุทธิ์

 
 
เรื่อง ไม่บริสุทธิ์ 

ความในใจของชายคนหนึ่งที่มีแฟน “ไม่บริสุทธิ์” ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้นนะครับ เพียงแค่อยากจะให้คุณๆทั้งหญิงและชายได้ฟังเรื่องราวในอีกมุมมองหนึ่งเท่านั้นครับ

เริ่มเลยละกัน ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาธรรมดาไม่หล่อไม่ขี้เหล่ จัดว่ากลางๆ โดยปกติเป็นคนขี้อายครับ ไม่เคยจีบใครก่อน แต่ก็มีสาวๆมาชอบเหมือนกัน โดยที่เป็นคนขี้อายก็เลยไม่มีแฟนสักที ก็เอาแต่เรียน ผมจัดว่าเป็นคนที่เรียนดีคนหนึ่ง จนเรียนจบเริ่มทำงานก็เริ่มรู้สึกเหงา เวลาที่เห็นคนเดินจับมือกัน ในขณะที่เราต้องเดินคนเดียว

แล้วเธอก็ผ่านเข้ามาในชีวิตผม เธอทำงานที่เดียวกับผมนั่นเอง ตอนนั้นใครที่เคยมีรักแรกพบก็คงรู้สึกแบบเดียวกับผมแน่ๆ เราสองคนสนิทกันเร็วมาก ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเธอก็ปิ๊งผมเหมือนกันด้วย ความที่ใจมันตรงกัน เราก็เลยเป็นแฟนกัน หลังจากที่รู้จักกันเพียงเดือนครึ่งเท่านั้น หลายคนอาจบอกว่ามันเร็ว แต่ทุกอย่างมันลงตัวไปหมด เราคุยกันทุกเรื่องจนมาถึงเรื่องเซ็กส์ ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นผมยังไม่เคยมีอะไรมาก่อน และอยากจะบอกให้ทุกคนทราบว่า คนที่ยังไม่เคย ก็ยังหวังให้คนรักยังบริสุทธิ์อยู่เหมือนกัน ในความคิดของผม มันคงเป็นอะไรที่สวยงาม ถ้าได้มีอะไรครั้งแรกด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นผมก็เลยถามตรงๆไปว่า เธอเคยมีอะไรแล้วหรือยัง ซึ่งเธอก็อึ้งไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า “ถ้าเราตอบว่าเคย แล้วเธอจะยังรักเราอยู่หรือเปล่า” ตอนนั้นใจผมก็เต้นแรงมาก แต่ฝืนตอบไปว่า “รักสิ”

แล้วเธอก็บอกว่าเธอเคยแล้วกับแฟนเก่า ซึ่งเธอบอกว่าเพราะความหล่อและ คารมดีทำให้เธอยอม ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นผมเหมือนทั้งโลกหยุดนิ่ง และอึ้งไปนานเลย ผมบอกว่าปวดหัวและวางสายเข้านอนเลย ตลอดทั้งคืนคิดฟุ้งซ่านไปหมด คำถามที่เต็มหัว ทำไมเธอง่ายจัง ทำไมเธอถึงยอม นึกภาพบัดสีระหว่างแฟนเก่ากับเธอ ทั้งหมดนั้นทำให้ผมรับไม่ได้ คุณต้องเข้าใจนะว่าผู้ชายที่ยังไม่เคย ส่วนมากจะคิดเหมือนผม (กลุ่มผมส่วนมากเป็นเด็กเรียนดี เรื่องอย่างนี้ไม่ค่อยยุ่งนัก ทำให้หลายๆคนยังซิงอยู่) เพื่อนผมแต่ละคนก็คิดอย่างผมทั้งนั้น คืนนั้นก็เลยตัดสินใจว่า เอาล่ะมันคงจบแล้ว พรุ่งนี้จะไปบอกเลิกกับเธอ ทั้งๆที่ผมรักมากและเจ็บมาก ผมหลับพร้อมกับน้ำตาท่วมหมอน

พอตอนเช้าเจอเธอที่ทำงาน คำแรกที่เธอพูดคือ เมื่อคืนเป็นอะไรหรือเปล่า ภาพที่ผมเห็นก็คือ เธอยังสวยเหมือนวันแรกที่ผมเจอ ยังน่ารัก ยังยิ้มแย้ม ยังแจ่มใส ไม่ต่างจากวันแรกที่ผมตกหลุมรัก ผมเลยคิดได้ว่า ที่เรารักมันคือสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์เลย เรื่องที่จะบอกเลิกก็หมดจากหัวไปทันที

ทุกวันนี้ก็คบกันมากว่า ๗ ปีแล้ว และผมคิดว่ารักครั้งนี้จะเป็นรักครั้งแรก และครั้งเดียวของผม เป็นพลังที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ เป็นจุดหมายปลายทาง เป็นแรงบันดาลใจ ผมยอมรับว่าบางครั้งนานๆทีก็นึกถึงเรื่องเธอกับแฟนเก่าบ้าง ซึ่งทุกครั้งผมจะหงุดหงิดใจมาก จนพาลไปทะเลาะบ่อยๆโดยไม่ได้บอกเธอว่าผมโกรธเรื่องอะไร ดูเธอเสียใจมาก แต่เธอก็ยังดีกับผมเสมอมา

จนวันนี้ผมบอกได้เต็มปากเลยว่า ผมเลิกคิดแล้วเรื่องเธอจะมีอะไรกับใครมาก่อน มันไม่สำคัญเลย เพราะสิ่งที่เธอให้ผมนั้นมันมีค่ามากกว่าแค่เยื่อบางๆ เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตผม นั่นคือความรักความห่วงใยความใส่ใจและความหวังดีที่เธอมีให้ผม เธอคือแรงบันดาลใจให้ผมก้าวเดินต่อไป สิ่งเดียวที่ผมต้องการจากเธอคือ ขอให้ผมเป็นคนสุดท้ายของเธอ

“ผู้ชายที่ได้เป็นรักแรกของผู้หญิง อาจจะเป็นคนโชคดี แต่ผู้ชายที่ได้เป็นรักสุดท้ายสิ เป็นคนโชคดีที่สุด”


เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2562

การเปลี่ยนแปลง

 
 
เรื่อง การเปลี่ยนแปลง

ในหลายครั้งที่เราจำเป็นต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะมาถึง สิ่งที่ถึงตัวเราก่อนมักจะเป็นความกลัว กลัวที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่บางทีเราก็ไม่ทราบว่าฉากต่อไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร

เคยอ่านเจอเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง แต่หาต้นฉบับไม่เจอแล้ว เล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนี้มานานตั้งแต่เด็ก หน้าบ้านของหล่อนมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา จนทำให้บริเวณนั้นดูร่มรื่นเป็นพิเศษ

และแล้ววันหนึ่งเมื่อต้นไม้นั้นพ่ายแพ้แก่การเวลา กิ่งก้านที่เคยร่มเย็นกลับก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้น เมื่อมันหักและหล่นใส่บ้านข้างเคียงบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นปัญหาถึงขั้นที่จะต้องโค่นล้มต้นไม้ใหญ่นั้นทิ้ง หลังจากหญิงสาวทราบว่าไม่สามารถจะคงต้นไม้นี้ไว้ได้ หล่อนถึงกับกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ต่อไปนี้จะเอาร่มเงาจากไม้ใหญ่ที่ไหนคอยกำบังแดดฝน ไม่มีภาพที่เคยมีอีกแล้วยามมองออกไปนอกหน้าต่าง ยิ่งคิดไปต่างๆนาๆ ยิ่งวันที่ต้องตัดต้นไม้นั้น ก็ยิ่งให้รู้สึกเสียดายไม้ใหญ่นั้น หล่อนได้ยินคำพูดจากเพื่อนของเธอที่ต้องการปลอบใจว่า

“อย่าเสียดายกับสิ่งที่เสียไป แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะตามมา”

แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีคำพูดใดๆเจาะไชเข้าไปถึงตัวเธอได้ วันเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ ชีวิตของเธอหลังต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นเริ่มเปลี่ยนแปลง ทุกเช้าที่เธอตื่น เธอจะได้รับแสงแดดส่องเข้ามาในบริเวณห้องของเธอ จนทำให้วันนั้นเกิดรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที เธอได้บริเวณบ้านมากขึ้น สำหรับปลูกไม้ดอกที่อยากจะปลูกมานาน เธอกลับเริ่มรู้สึกดีๆกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันไม่ได้แย่ไปอย่างที่เธอคาดไว้เสียทีเดียว ถ้าต้นไม้ใหญ่นั้นไม่ถูกโค่นลง วันนี้เธอคงไม่ได้เห็นภาพเด็กๆวิ่งขึ้นลงรถรับส่งโรงเรียนอย่างร่าเริงในอีกมุมตึกถัดไปอย่างชัดเจนเช่นนี้

ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วกับคำว่า
“อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะตามมา”

เรื่องนี้บางทีคงถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่าต้นฉบับ แต่ตอนอ่านพออ่านจบแล้วรู้สึกว่ามันเป็นความจริง ใช่เลยที่ส่วนมากแล้วเรามักจะกลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ทุกอย่างมันอยู่ที่ความคิดจริงๆนะ คนเรามักกลัวที่จะเข้าไปในห้องมืด ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในห้องนั้นมีอะไรบ้าง แต่ไอ้ที่กลัวๆอยู่น่ะมันอยู่ในความคิดทั้งนั้น

บางคนกลัวที่จะสูญเสียคนรักไป ทั้งๆก็ไม่ได้มองหรอกนะว่า ไอ้ที่กอดๆอยู่น่ะ มันเหมาะมันดีกับเราแล้วจริงหรือ กลัวว่าต่อไปถ้าขาดเขาหรือเธอไป ชีวิตจะเป็นยังไง เดินห้างคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว กลัวเจอคนที่แย่กว่าเดิม อะไรก็ตามที่คุณกลัวและคิดไปเรื่อย จนทำให้คุณกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง จนบางทียอมที่จะทนกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงไปยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลง

คุณลองมองในอีกมุมที่หญิงสาวในเรื่องไม่ได้มองดูสิ มุมมองที่เป็นบวกกับชีวิตคุณ มุมมองที่จะทำให้คุณก้าวต่อไปได้ด้วยความตื่นเต้นและยินดี

“อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะตามมา”


เครดิต: Forward Mail 


 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้