จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562

นิทานนกกระจอก

 
 
เรื่อง นิทานนกกระจอก

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีนกกระจอกตัวหนึ่งเป็นนกกระจอกเจ้าสำราญ เที่ยวกินเที่ยวเล่นไปวันๆอย่างสนุกสนาน เมื่อเวลาฤดูหนาวใกล้เข้ามา นกกระจอกตัวอื่นๆก็พากันเตรียมตัวออกบินลงใต้เพื่อหลบหนาว แต่พระเอกของเราก็ยังทำทองไม่รู้ร้อน มันว่าเอาไว้ให้จวนตัวจริงๆค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย เพื่อนๆพากันเกาะกลุ่มบินไปเป็นกลุ่ม จนในที่สุดเหลือมันตัวเดียว และประจวบกับอากาศที่หนาวเย็นลงทุกวันมันจึงสำนึก

เช้าวันหนึ่งที่อากาศหนาวเหน็บ นกกระจอกเจ้าสำราญก็ออกบินเดี่ยวเดินทางลงใต้
ขณะมาได้ไม่ไกลฝนก็เทลงมาทำให้ขนของมันเปียกปอนไปหมด และเพราะอากาศที่เย็นยะเยือกก็ทำให้น้ำที่เกาะปีกของมันกลายเป็นน้ำแข็งหนัก มันบินต่อไปไม่ไหว ทั้งหนาวจนเกือบแข็งตายและหมดแรงจึงตกแอ๊กลงมานอนหอบรอความตายอยู่บนพื้นดิน เผอิญตรงนั้นจำเพาะเป็นลานบ้านชาวนามีวัวตัวหนึ่งเดินผ่านมา และขี้ออกมากองเบ้อเริ่มหล่นเผละลงมาทับเจ้านกกระจอกพอดีจนมิดหัวมิดหู เจ้านกกระจอกจึงนึกในใจว่า
“ซวยจริงตู ตายไม่มีศักดิ์ศรีเลย จมกองขี้วัวตาย”

มันปลงได้แล้วว่าคงตายแน่ แต่แล้วกองขี้วัวนั่นแหละที่ช่วยชีวิตมัน เพราะความอุ่นทำให้น้ำแข็งละลาย และทำให้นกกระจอกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มันดีใจมากที่รอดชีวิตจนร้องเพลงออกมาดังๆ เจ้ากรรมมีแมวตัวหนึ่งเดินผ่านมา มันได้ยินเสียงนกร้องจึงเงี่ยหูฟังและเดินย่องตามหา จนมาพบว่าเสียงออกมาจากกองขี้วัวนี่เอง แมวจัดแจงเขี่ยขี้วัวออกด้วยความสงสัย จนไปเจอะเจ้านกกระจอกที่กำลังแหกปากร้องเพลงเพลินอยู่ จึงจับกินเป็นอาหารอันโอชะเสียในทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
๑. คนที่ขี้รดหัวเรา ไม่แน่ว่าจะเป็นศัตรูเสมอไป
๒. คนที่ช่วยโกยขี้ให้พ้นหัวเรา ไม่แน่ว่าจะเป็นมิตรไปเสียทุกคน

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2562

หยุดคิดสักนิดก่อนคิดจะรักใคร

 
 

เรื่อง หยุดคิดสักนิดก่อนคิดจะรักใคร

มาเริ่มต้นคำคมแบบบาดลึกไปถึงขั้วหัวใจกันเลยดีกว่า ยาขอบท่านเขียนไว้ในหนังสือชื่อ ความรัก ว่า 

“คนที่เรารัก อาจไม่ใช่คนที่เราครอบครอง คนที่เราได้ครอบครอง อาจไม่ใช่คนที่เรารัก”
แค่นี้ต้องให้แปลไทยเป็นไทยไหม ท่านว่าเรื่องของความรักนั้นมันเกิดกับมนุษย์สองคนก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า “รัก” หนนั้น จะประสบความสำเร็จเสมอไป หลายหนหลายครั้งที่คนเรารักกันแล้ววืด หรือ “ก้าวพลาดจนเผลอตกบันได” เพราะมีปัจจัยเสริมหลายอย่าง ทำให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ ทั้งที่ใจนั้นอาจจะรักกันปานจะกลืนกิน แต่อนิจจา เขาดันมีคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว เหตุนี้เมื่อเวลาเราจะเลือกคู่ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเรารักใคร แต่ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้ ทำให้เราต้องไปเลือกคนอื่นมาอยู่ด้วย เรียกว่าผิดฝาผิดตัว ก็เลยทำให้เกิดอารัมภบทของยาขอบข้างต้นขึ้นมานั่นไง 

เมอร์ลินว่าหลายคู่หากลงเอยกันทำนองนี้ ขออย่าให้คิดอะไรมาก คิดซะว่ารักมันก็เป็นเช่นนี้เอง คือแม้เราไม่สมหวังในรัก แต่ก็ยังมีคนที่มารักเราอยู่ แบบนี้ก็น่าจะพอใจแล้วใช่ไหม

ต่อไปเป็นของคุณ ออสการ์ วาย นักเขียนชั้นบรมครูจากอังกฤษ แม้ท่านจะเป็นเกย์ แต่กลับพูดถึงความรักไว้น่าสนใจว่า 
“ผู้ชายจะเลือกรักแรกของผู้หญิง แต่ผู้หญิงมักจะเลือกรักสุดท้ายของผู้ชาย” 
เป็นไงล่ะ นี่ขนาดคุณเธอ ออสการ์ เขียนไว้หลายสิบปีแล้ว แต่ยังปรากฏว่า คำพูดยังดำรงความจริงชนิดไม่ค่อยจะเปลี่ยนสักเท่าไหร่ ท่านว่าผู้หญิงมักจะมั่นคงต่อความรัก ในขณะที่ผู้ชายจะเรื่อยๆมาเรียงๆ หนำซ้ำบุรุษเพศอะนะ มักเอาเปรียบผู้หญิงในเรื่องสัมพันธ์สวาทเสมอ

เห็นไหมว่าผู้ชายส่วนใหญ่นิยมชมชอบผู้หญิงที่ยังหวงแหนพรหมจารีเอาไว้ให้เขาแต่เพียงผู้เดียวเสมอ ขณะที่ฝ่ายหญิงก็ไม่รู้เป็นไง ยอมอ่อนข้อและไม่เห็นว่าผู้ชายที่ตัวเองรักจะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องสักเท่าไหร่เลย แต่ข้อสำคัญของผู้หญิงคือ ขอให้ชายหนุ่มคนนั้นมารักฉันจริงก็แล้วกัน เพราะเธอจะยกให้หมดทั้งตัวและหัวใจทีเดียวเชียวนะ

นอกจากนี้ ความรักของผู้หญิงก็ไม่ต้องพึ่งพายาไวอาก้าเสียด้วย เพราะอะไรรู้ไหม ก็เพราะเมื่อผู้หญิงตกลงปลงใจที่จะรักใครแล้ว เธอก็จะรักเลย (บางคนอาจเลยเถิดไปเสียด้วยซ้ำ) ทำให้แม้แต่เรื่องเพศสัมพันธ์ เธอก็จะมองว่าเป็นหัวข้ออันดับรองๆของชีวิตคู่ด้วยซ้ำ ไม่เชื่อก็ลองถามเพื่อนสาวของคุณๆดูสิว่า ถ้าเธอไม่มีเซ็กส์กับแฟน แล้วเธอจะยังรักเขาอยู่ไหม

ต่อไปเป็นคำแหลมคมเสียดแทงหัวใจของนักคิดนิรนาม บอกเอาไว้น่าฟังว่า 
“การมีชีวิตอยู่คนเดียวในโลก ไม่ต้องใช้ฝีมือ แต่การมีชีวิตคู่ต่างหากล่ะ ที่ถือว่าเป็นพัฒนาการในด้านจิตใจ” 
ก็จริงของเขานะที่ว่า การมีชีวิตโสดน่ะ ไม่เห็นต้องใช้ฝีมือในการดำรงชีวิตอย่างไรเลย เพราะเราอยู่ตัวคนเดียว ทำอะไรคนเดียว จะต้องไปแคร์ใครให้มันยุ่งยาก ทว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก แต่เกิดมีใครสักคนมาอยู่ด้วยเป็น “สองเรา” นี่สิ คุณคิดหรือว่าการดำเนินชีวิตมันจะง่ายเหมือนเมื่อครั้งที่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง น่าคิดนะจ๊ะข้อนี้

ถัดมาบอกไว้ว่า “อย่าแต่งงานเพื่อหนีความเหงาและความว้าเหว่ (เลยแม่คุณเอ๋ย) เพราะถ้าแต่งงานไป (แล้วเกิดไปกันไม่ได้จริงๆ) คุณจะยิ่งเหงา และว้าเหว่หนักขึ้น” 

ขอทิ้งทวนแต่ไม่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“การเลือกคู่ครองที่ดี คือการมองอนาคตของกันและกัน” เพราะอย่างว่า “ความรัก” ควรมีพัฒนาการ ส่วนจะเป็นการก้าวกระโดดไปในทางที่ดีหรือร้าย ก็ขึ้นอยู่กับนักรักมืออาชีพอย่างคุณๆทั้งหลายแหละ

ส่วนคำคมอมตะที่เมอร์ลินชอบที่สุด ท่านว่า 
The supreme happiness of life is conviction that we are loved. 
“ความสุขสูงสุดของชีวิต คือการแน่ใจว่า เรามีคนที่รักเราอยู่”
ซึ้งไม่ซึ้งก็ไม่รู้ล่ะ แต่เราชอบจังเลย

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2562

มองโลกให้งดงาม

 
 
เรื่อง มองโลกให้งดงาม

มองโลกอย่างงดงาม แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป

มีเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ สมชาย เขาได้รับการกล่าวขวัญเสมอว่า เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ชอบมองโลกในแง่ดี และมีอารมณ์ดีตลอดเวลา ทุกครั้งถ้ามีใครถามเขาว่า ชีวิตเป็นอย่างไร เขาจะตอบว่า “ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้”
ลูกน้องทุกคนรักในความเป็นผู้นำของเขา ถ้าลูกน้องคนไหนกำลังมีปัญหา เขาจะอยู่ใกล้ๆและคอยปลอบให้รู้ว่า จะมองเห็นสิ่งที่ดีจากเรื่องร้ายๆที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร 

วันหนึ่งผมอดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้ จึงถามเขาว่า 
“เอ็งมีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่า ถึงได้มีอารมณ์ดีอย่างนี้ได้ตลอดเวลา” 
เขาตอบว่า “ทุกวันตอนเช้า เมื่อข้าถามตัวเองว่า วันนี้จะเลือกเป็นคนอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้าย ข้าก็จะเลือกข้อหนึ่งทุกที ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ข้ามีสิทธิเลือกตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ หรือเลือกที่จะเรียนรู้จากเหตุการณ์ ทุกครั้งที่มีใครบ่นให้ข้าฟัง ข้ามีสิทธิเลือกที่จะรับคำบ่น หรือชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดีกว่า สุดท้ายข้ามักเลือกด้านดีของชีวิตเสมอ”
ผมแย้งกลับไปว่า “แต่อะไรๆไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะสิ” เขาตอบว่า “ถูกต้อง ชีวิตคือการเลือก เมื่อเอ็งตัดสิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็นออกไป สุดท้ายจะเหลือแค่การเลือก เอ็งมีสิทธิเลือกตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ว่าจะทำให้คนอื่นตอบสนองอารมณ์เอ็งได้อย่างไร เอ็งมีสิทธิเลือกที่จะสบายใจหรือหัวเสียตลอดเวลาได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าเอ็งจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร”

หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รับข่าวร้ายว่า เพื่อนผมคนนี้ถูกโจรที่เข้ามาปล้นร้านอาหารยิง และได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่มีคนมาพบและนำส่งโรงพยาบาลทัน หลังจากการผ่าตัดนานกว่า ๑๘ ชั่วโมงผ่านไป และนอนพักรักษาตัวเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ สมชายได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ ในระหว่างที่ผมไปเยี่ยมสมชาย ผมถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบว่า “ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้” เขาถามผมว่า อยากดูบาดแผลหรือเปล่า ผมตอบว่าไม่ แต่อยากรู้ว่า เขาผ่านเรื่องร้ายๆอย่างนี้มาได้อย่างไร 

“สิ่งแรกที่ข้านึกได้คือ น่าจะล็อคประตูหลังร้านไว้” สมชายตอบ
แต่หลังจากถูกยิง ขณะที่นอนอยู่บนพื้น ข้าบอกกับตัวเองว่า
“ข้าเหลือทางเลือกเพียงสองทาง คือมีชีวิตอยู่ต่อ หรือไม่ก็ตาย แน่นอนที่สุด ข้าเลือกมีชีวิตอยู่”
“แล้วไม่รู้สึกกลัวบ้างหรือ” ผมถามต่อ
สมชายเล่าต่อไปว่า “พวกที่มาช่วยเก่งมาก พวกเขาบอกข้าตลอดเวลาว่า ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องเรียบร้อย แต่ระหว่างที่ข้าถูกเข็นเข้าไปห้องผ่าตัด ข้ามองเห็นสีหน้าของหมอและพยาบาล แล้วรู้สึกได้จากสายตาของพวกเขาว่า “ข้ากำลังจะตาย” เลยบอกตัวเองทันทีว่า “ต้องทำอะไรสักอย่าง”
“แล้วเอ็งทำอะไร” ผมถาม
“พอดีมีนางพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามว่า แพ้อะไรหรือเปล่า” แล้วข้าก็ร้องออกมาทันทีว่า “หมอ หมอ ผมแพ้อยู่อย่างหนึ่งครับ” ทั้งหมอและพยาบาลหยุดชั่วขณะ จนห้องทั้งห้องเงียบกริบ เพื่อรอฟังคำตอบ ข้าหายใจลึกๆและตอบว่า
“ผมแพ้หัวลูกปืนครับ” ทันใดนั้นทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นไปหมด 
ต่อจากนั้น ข้าก็บอกหมอว่า 
“ผมอยากมีชีวิต ช่วยกรุณาผ่าตัดอย่างคนมีชีวิต ไม่ใช่คนที่ตายไปแล้ว” 

แม้ว่าการที่สมชายมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เกิดจากฝีมือหมอก็ตาม แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากความคิดในแง่ดีของเขาด้วย ข้อคิดจากเรื่องนี้ก็คือ คุณมีสิทธิที่จะชื่นชมกับชีวิต หรือทำให้ชีวิตขื่นขม ได้ด้วยความคิดของคุณเอง ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป 

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2562

บทลงโทษ

 
 
เรื่อง บทลงโทษ 

วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด แม้จากระยะไกลฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อตาโตด้วยความหวาดหวั่น รอคอยที่จะถูกทำโทษ พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง แล้วก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก หนังสือคือความรู้ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก 

สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน พ่อกลับนั่งลง หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้ แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั้นเสียเอง พ่อเขียนที่ข้างๆลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า

“ภาษาของแอนดี้เมื่ออายุสองขวบ ต่อไปนี้ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆที่น่ารัก และดวงตาที่สดใสของลูก และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย เหมือนกับที่พี่ๆของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน”

“ว้าว” ฉันคิด นี่หรือการลงโทษของพ่อ
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า 
“อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นก็คือ คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ”

ลองมองย้อนดูตัวคุณเอง ในแต่ละวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า “เดี๋ยวผมเทเองก็ได้” นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน เพราะอาหารมื้อนั้นไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารักและเอาใจใส่ผมมากเท่าใด อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม) แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณบ้างล่ะ (ทีนี้ตาผมมั่ง) รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้ว 

สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้น ไม่ใช่นาฬิกาเรือนละแสนละล้าน หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่งเฝ้ารักเฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก 

แล้วคุณล่ะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือยัง (^_^)

เครดิต: Forward Mail

 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้