จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562

เหตุผลที่คุณเบื่องาน

 
 
เรื่อง เหตุผลที่คุณเบื่องาน 

มีเหตุผลเดียวที่คุณเบื่อคนเบื่องาน คือคุณไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ถ้าคุณอยากได้งานดีๆทำ จงเริ่มทำดีๆกับงานของคุณ ทำดีๆคือทำด้วยใจ ทำโดยไม่กลัวความผิดหวัง และทำในสิ่งที่คุณต้องทำ การทำงานที่เปี่ยมไปด้วยความเต็มใจและตั้งใจจริง เป็นเรื่องของคนที่เติบโตเต็มที่แล้วอย่างมีเกียรติ

ถ้าคุณทำงานโดยไม่เห็นว่ามันสำคัญและมีค่า คุณก็ไม่ควรทำลายคุณค่าของงานด้วยการฝืนใจทำ

คุณจะรู้จักคนรักและมิตรสหายก็ด้วยการมอบหมายงานให้เขาทำ งานจะเปิดเผยธาตุแท้ของมนุษย์

ถ้าคุณทำงานเพื่อความอิ่มท้อง จิตใจของคุณก็จะกระหายหิวและเหี่ยวเฉา ถ้าคุณทำงานเพื่อความอิ่มใจ แม้ท้องไส้ของคุณจะไม่อิ่มเต็ม แต่มันก็จะให้พลังและกำลังใจที่คุณต้องการ 

คุณต้องมีเวลาให้กับส่วนอื่นๆของชีวิต “งานมาก” ไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างอะไรได้ เราทุกคนจะมีเวลามากพอสำหรับทุกสิ่ง ถ้าเรารู้จักใช้เวลาให้เป็น ถ้าเราเห็นถึงคุณค่าของแผนงาน 

ไม่ว่างานอะไรก็ตาม คุณจงพอใจที่จะทำ หรือจงพอใจที่จะไม่ทำ แต่อย่าทำด้วยความไม่พอใจ 

เมื่องานที่คุณรักกำลังจะล้มเหลว อย่าสิ้นศรัทธาแม้คุณจะสิ้นทุกสิ่ง จงศรัทธาในตัวคุณเอง คุณยังไปได้ดีกว่าที่คุณเป็นอยู่ สิ่งใดที่ทำให้คุณล้มเหลว คุณต้องเรียนรู้ ต้องเข้าใจ และต้องเอาชนะ ชีวิตคุณจะมีความหมายก็ตรงที่มีอุปสรรคมาท้าทายคุณ แล้วคุณตั้งใจจริงที่จะไม่ยอมแพ้ งานที่ดีต้องมีปัญหาและอุปสรรค ถ้าคุณไม่มีปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญมาท้าทาย คุณก็ไม่อาจพบกับความรู้สึกดีๆได้ในชีวิต 

การค้นคว้าและการขบคิดจนแก้ปัญหายุ่งยากได้สำเร็จ การฝ่าฝันอุปสรรคหนักหน่วงจนได้ชัยชนะ สองสิ่งนี้ให้ความรู้สึกอะไรกับคุณคงจำได้ ชีวิตคุณถ้าไม่ได้ต่อสู้กับความยุ่งยากหนักหน่วงเสียบ้าง ชีวิตก็คงจืดชืดน่าเบื่อหน่ายเป็นที่สุด 

งานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต คุณจึงไม่ใช่รู้จักแต่จะก้าวไปเท่านั้น คุณต้องรู้จักที่จะหยุดพักด้วย ชีวิตจะเหมือนหนังสือที่ไม่มีวรรคตอนและย่อหน้า ถ้าคุณไม่รู้จักเวลาใดควรทำเวลาใดควรหยุด

ทำงานในวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเป็นวันที่คุณแน่ใจได้ว่าจะได้ทำ ทำสิทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะพรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ การทำงานด้วยใจ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการศึกษาทั้งปวง 

จากหนังสือ ชีวิตและงาน ของศรัทธา สื่อสัจจา

 
 


วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

๑๐ ข้อ กับการพิสูจน์รักแท้

 
 
เรื่อง ๑๐ ข้อ กับการพิสูจน์รักแท้ 

วัยและประสบการณ์ทำให้คนมีนิยามของ “รักแท้” แตกต่างกันไป
บางคนก็ว่ารักแท้ไม่เคยอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์
บางคนก็ว่ารักแท้คือรักที่กำลังรักอยู่ยามนี้
บางคนก็ว่ารักแท้หาเอาได้ตามเตียงทุกเตียง

แต่มีนักจิตวิทยาได้ให้องค์ประกอบของรักแท้ สำหรับให้คนพิสูจน์ความรักหนนั้นของตนว่า มันเป็นรักแท้ขนานแท้ รักแท้แบบปลอมปน หรือรักแท้ที่ปลอมสนิท

๑. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัสกับความสุขร่วมกับคนๆนั้น
เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกลไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงาๆและคิดถึง ไม่ใช่พอเขาหันหลังให้ยังเห็นชายเสื้อแว็บๆก็แทบจะตีปีกโลดเต้นดีใจ

๒. ต้องให้ความเคารพนับถือคนๆนั้น 
ถ้าจะรักใครสักคนแล้วตั้งหน้าดูถูกไม่เคยให้ความเคารพ ใครอื่นจะเคารพคนๆนั้นของเรา และการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใครๆเขาดูถูก มันจะเหลือความภูมิใจในคนๆนั้นสำหรับเราได้ยังไง

๓. ต้องรู้สึกว่าคนๆนั้นเป็นที่พึ่งได้
เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิตก็มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะตกตึกอยู่รอมร่อก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยฉุด

๔. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใดๆเกิดขึ้นไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป
เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยให้กันมันก็อยู่กันทน ไม่ใช่ผิดหนเดียวก็ถีบส่ง

๕. ต้องเข้าถึงความต้องการอารมณ์และความรู้สึกของคนๆนั้น
อย่างถ้ารู้ว่าเขาอยากจะอยู่คนเดียวตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับตัวเองด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เปิดโอกาสอย่างกระเง้ากระงอด

๖. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคนๆนั้น
ไม่ว่าจะต้องเสน่ห์ในความเป็นหญิงกำยำ หรือในความล้านจนขึ้นเงาวับบนหัวเขา มันก็มีส่วนในความรักเหมือนกัน

๗. ต้องรู้สึกว่าเราสามารถจะพูดคุยกับคนๆนั้นได้ทุกเรื่องอย่างเปิดอก
สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้วเราจะอับอาย หรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยินแล้วจะผงะหงาย แล้วเดินหายไปจากชีวิต

๘. ต้องรู้สึกว่าคนๆนั้นเป็นของมีค่าในมือ
ถ้าไม่มีเขาสักคนชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป

๙. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆนั้นในหลายๆด้าน
เป็นต้นว่า ความคิดอารมณ์และเวลา แต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง

๑๐. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง
ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่า ร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าคุณไม่ได้มีรักแท้กับคนๆนั้น

ถ้ามีครบทุกข้อดังที่กล่าวมา ให้ถือว่ากำลังมีรักแท้โดยสมบูรณ์ แต่ถ้าขาดไปสักข้อสองข้อ ก็ให้โมเมว่ายังเป็นรักแท้อยู่ แต่ถ้ามีเพียงหนึ่งหรือสองข้อในจำนวนทั้งหมดที่กล่าวมา ก็จงอย่าพยายามหลอกตัวเองว่ารักนี้เป็นรักแท้ เพราะไม่เช่นนั้นทั้งสิบคนที่คบอยู่จะเป็นรักแท้ไปหมด

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562

ของขวัญอันล้ำค่า

 
 
เรื่อง ของขวัญอันล้ำค่า

แต่ก่อนนานมาแล้ว ยังมีชายชราคนหนึ่งแก่มากจนจำอายุตนเองไม่ได้ หากแต่ใบหน้าของเขายังอิ่มเอิบเปล่งประกายเลือดฝาด เคราสีเงินยวงสะอาดตาของเขายาวปกคลุมมาถึงหน้าอก ร่างกายของเขาแข็งแรงมาก ตายังไม่ฝ้าฟาง หูก็ยังไม่หนวก เขามีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เขาก็ยังเป็นคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่างภายในครอบครัว

ปีนี้เขาตัดสินใจว่าจะเลือกใครคนหนึ่งจากลูกชาย ๑๕ คนของเขามาสืบทอดภารกิจนี้เสียที แต่ว่าจะเลือกใครดีล่ะ เมื่อชายชราคิดวิธีที่ดีที่สุดได้ เขาจึงสั่งให้ลูกชายทั้ง ๑๕ คนมาพบ แล้วแจกเมล็ดดอกไม้ให้ลูกๆคนละ ๑ เมล็ด พร้อมทั้งบอกว่า ใครสามารถปลูกเมล็ดพืชนี้ให้งอกงามจนออกดอกบานสะพรั่ง คนนั้นก็จะได้เป็นผู้สืบทอดมรดกต่อไป 

เมื่อลูกๆได้เมล็ดพืชมาแล้วต่างนำไปปลูกและดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ลูกชายคนเล็กของชายชราผู้นี้มีชื่อว่า เสี่ยวเหลียงจือ เมื่อได้เมล็ดดอกไม้แล้วเขาก็นำไปปลูกในกระถาง รดน้ำเอาใจใส่อย่างดีทุกวันทุกคืน แต่เมล็ดพืชนั้นก็ไม่แตกกล้าสักที เสี่ยวเหลียงจือรู้สึกเศร้าโศกเสียใจมาก 

เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฤดูร้อนย่างกรายมาถึงแล้ว ชายชราผู้เป็นพ่อกำหนดว่า วันนี้จะเป็นวันคัดเลือกดอกไม้ของลูกๆ ลูกทุกคนต่างอุ้มกระถางดอกไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งอย่างสวยสดงดงามมาให้ผู้เป็นพ่อชมเพื่อรอการคัดเลือก ชายชราเดินตรวจดอกไม้ที่สวยงามในมือของลูกๆด้วยสีหน้าที่ไม่มีแววยินดีแม้แต่น้อย เขาเดินตรวจจากบุตรชายคนโตมาจนถึงบุตรชายคนที่ ๑๔ โดยมิได้หยุดเลย เมื่อเดินมาถึงเสี่ยวเหลียงจือ บุตรชายคนสุดท้อง ซึ่งยืนถือกระถางเปล่า ไม่มีทั้งต้นไม้และดอกไม้ ชายชราจึงหยุดกึกตรงนั้น เสี่ยวเหลียงจือน้ำตาไหลพราก กล่าวกับบิดาอย่างสำนึกผิดว่า

“พ่อครับ ผมไม่มีดอกไม้จะมอบให้พ่อ” 
ชายชรากลับยิ้มแย้ม และพูดอย่างยินดีปรีดาว่า
“ลูกเอ๋ย สิ่งที่เจ้ามอบให้พ่อนั้น มีค่ายิ่งกว่าดอกไม้มากมายนัก”
“อะไรหรือครับ”
“ความซื่อสัตย์ไงล่ะ”

เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ ชายชราจึงเปิดเผยความลับต่อลูกๆว่า ที่แท้เมล็ดพืชที่ตนแจกแก่ลูกๆนั้น เป็นเมล็ดพืชที่นำไปคั่วจนสุก ดังนั้นต้นไม้ที่ผลิดอกสวยงามเหล่านั้น ล้วนมาจากเมล็ดพืชจากที่อื่น ไม่ใช่เมล็ดพืชผู้ที่เป็นพ่อแจกให้ ดอกไม้พวกนี้จึงเป็นสักขีพยานยืนยันความไม่ซื่อตรงของพวกเขา สุดท้ายชายชราจึงกล่าวอบรมลูกๆว่า 
“ขอให้ลูกๆจงเป็นคนซื่อสัตย์เถิด ความซื่อสัตย์เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนเรา” 

ชายชราผู้มองการณ์ไกล มิได้มองหาลูกชายที่แข็งแรงร่ำรวยหรือเฉลียวฉลาดเลย หากแต่มองหาลูกชายที่ซื่อสัตย์จริงใจ แม้เสี่ยวเหลียงจือจะมีเพียงกระถางว่างเปล่า แต่ใจของเขางดงามซะยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ เพราะเป็นใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันหาได้ยากยิ่งในโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันนี้ เขาจึงเป็นผู้ที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ และได้รับมอบหมายสิ่งสำคัญจากผู้เป็นบิดา 

นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า ความซื่อสัตย์และจริงใจเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังอยากได้จากกันและกันมากที่สุดในชีวิตของเรา เมื่อเราปรารถนาความซื่อสัตย์จริงใจจากทุกคน เราก็ควรเริ่มจากตัวของเราก่อน มอบความซื่อสัตย์จริงใจให้แก่กัน เพราะนี่คือสมบัติอันล้ำค่าที่เราทุกคนต่างปรารถนา และสามารถมอบให้แก่กันและกันได้ ให้โลกนี้งดงามด้วยความความซื่อสัตย์และจริงใจ งามยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆทั้งมวล

เครดิต: Forward Mail

 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้