จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เพราะรักคงอยู่

 
 
เรื่อง เพราะรักคงอยู่

มีประโยคหนึ่งในหนัง IL MARE ที่น่าสนใจมาก เขาบอกทำนองว่า
“ที่เราต้องเจ็บปวดกับความรักนะ ไม่ใช่เพราะมันจากไปหรอก แต่เพราะมันยังคงอยู่ต่างหาก”
ถ้าวันนี้คนสองคนต่างหมดรักกัน คงไม่มีใครต้องเสียใจมากนัก แต่กลับเป็นเพราะรักที่ยังอยู่ในใจคุณนั่นเอง ที่ทำให้คุณปล่อยวางไม่ได้ ธรรมชาติของรักมักไม่ให้โทษแก่ใคร เพียงแต่อาจปรุงแต่งให้หัวใจพองฟู จนลืมนึกถึงความเป็นจริงที่ว่า มีวันที่รักมา ก็อาจมีวันที่รักไปได้ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม หลายคนจึงอดหลงใหลได้ปลื้มกับมันไม่ได้ในยามที่มันอยู่

เรามักหลอกตัวเองว่า เพราะเรารักเขามาก เขาคงเห็นความดีความตั้งใจของเรา และรักเราตอบบ้างไม่มากก็น้อย และเมื่อเขาตอบรับรักของเรา ความฟูของหัวใจมักทำให้เราก้าวล่วงไปถึงการรู้สึกยึดมั่นว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นเหมือนทรัพย์สินส่วนตัวทางใจอย่างหนึ่งที่จะต้องอยู่กับเราทุกครั้งที่เราต้องการ นานเท่าที่เราปรารถนา ความรู้สึกอันนี้แหละคือจุดเริ่มของความเจ็บปวดทั้งมวล เพราะมันฝืนกฎธรรมชาติ

ไม่ได้บอกว่ารักต้องลงเอยด้วยความเศร้าเสมอไป เพียงแต่ถ้าเขาจะอยู่เขาจะไป จะรักคุณมากขึ้นคงเดิม หรือลดน้อยถอยลง ก็จะเป็นเพราะคนสองคน ไม่ใช่ความต้องการของเราฝ่ายเดียว หรือเขาฝ่ายเดียว

ชีวิตเป็นเรื่องซับซ้อนเข้าใจยาก แต่ในความซับซ้อนนั้น มันก็เรียบง่ายอย่างที่เรานึกไม่ถึง เพราะไม่ว่าสิ่งไหนเรื่องอะไรสารพัดสารพัน ทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในกฎเดียวกัน มันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรสภาพ แล้วก็จบ รักที่สมหวังอยู่กันจนแก่เฒ่า ก็หนีไม่พ้นกฎข้อนี้ เพราะวันหนึ่งไม่เราก็เขาก็ต้องตายจากกัน สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าวันนี้เขาอยู่หรือจากไป สำคัญที่ว่าช่วงที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน ขอให้มีความทรงจำที่ดีก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยเราก็ยังมีอะไรดีๆให้นึกถึงและยิ้มให้ความทรงจำนั้นได้ ถึงวันนี้จะร้องไห้ก็คงไม่กระไร เพราะชีวิตก็เป็นแบบนี้ มีวันที่เลวร้าย มีวันที่สวยงาม มีวันที่ว่างเปล่า สุขก็อยู่กับเราไม่นาน ทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน สุขเคยแวะผ่านมาแล้วก็ไป ทุกข์ก็เป็นเฉกเช่นกัน ร้องไห้แล้วก็อย่าร้องเปล่าๆ มองให้เข้าใจสัจธรรมของชีวิตไปด้วย

ได้แต่อวยพรให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้น เติบโต เข้มแข็งขึ้น แต่อย่าแข็งกร้าว ขอให้อ่อนโยนแต่เข้มแข็ง และขอให้วันใหม่ในชีวิตมาถึงในอรุณรุ่งของวันพรุ่งนี้ วันที่เราจะไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

คิดในแง่ดี (Think positively)

 
 
เรื่อง คิดในแง่ดี (Think positively)

Once there was loving couple traveling in a bus in a mountainous area.
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง เดินทางไปเที่ยวในพื้นที่ที่เป็นภูเขา ด้วยรถประจำทาง

They decided to get down at some place.
พวกเขาตัดสินใจที่จะลงตรงไหนสักแห่งหนึ่ง

After the couple got down at some place the bus moved on.
หลังจากพวกเขาลงจากรถบัสแล้ว รถบัสก็เคลื่อนที่ต่อไป

As the bus moved on, a huge rock fell on the bus from the mountain and crushed the bus to crumbs.
เมื่อรถบัสเคลื่อนตัวไป ก็มีก้อนหินขนาดมหึมาหล่นลงมาจากภูเขา ทับรถบัสจนเละ

Everybody on board was killed.
ทุกคนบนรถบัสตายหมด

The couple upon seeing that, said, “We wish we were on that bus”
เมื่อสามีภรรยาคู่นั้นเห็นเข้า ก็พูดว่า “เราน่าจะอยู่บนรถบัสคันนั้นนะ”

Why do you think they said that?
คุณคิดดูสิว่าทำไมพวกเขาจึงพูดเช่นนั้น

Scroll down for answer.
เลื่อนลงมาเพื่อที่จะดูคำตอบ
(ลองพยายามคิดดูก่อนนะครับ)
V
V
V
V
V
V
V
V
V
Come on think again
ไม่เอาน่า คิดอีกทีสิ
V
V
V
V
V
V
V
V
V
Come on try hard
ไม่เอาน่า พยายามให้หนักหน่อยสิ
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
Think positively.
คิดในแง่ดีเข้าไว้

The answer is………..
คำตอบคือ

If they had remained on the bus instead of deciding to get down, the resulting time delay could have been avoided and the rock would have fallen after the bus had passed.
ถ้าพวกเขายังคงอยู่บนรถบัส แทนที่จะตัดสินใจลง รถบัสก็ไม่เสียเวลาจอดให้พวกเขาลง ผลลัพธ์คือ รถบัสจะวิ่งผ่านไปก่อนที่ก้อนหินก้อนนั้นจะตกลงมา

Think positive in life always and look for opportunities when you can help others.
คิดในแง่ดีกับชีวิตเสมอ และหาโอกาสเมื่อคุณสามารถช่วยผู้อื่นได้


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ชาย๑ หญิง๓

 
 
เรื่อง ชาย๑ หญิง๓  

เรื่องของผู้ชาย ๑ คน กับ หญิง ๓ คน
ผมเป็นผู้ชายที่หลงรักผู้หญิงพร้อมกันสามคนครับ รักมาก รักจนไม่รู้ว่าผมรักใครมากกว่าใคร รู้แต่ว่าผมไม่สามารถเลือกใครเพียงคนหนึ่งคนเดียวได้ ไม่สามารถขาดใครคนหนึ่งคนใดได้

ผู้หญิงคนแรก
เป็นคนที่คอยดูแลเอาใจใส่ห่วงใยเสมอ ผมรู้ว่าเธอรักผมมากกว่าชีวิตของเธอเสียอีก หลายปีมาแล้วที่เธอทำงานหนักเพื่อผม ทำงานหนักยิ่งกว่าคนรับใช้ผมเสียอีก แม้บางครั้งเธอดูจะจู้จี้ขี้บ่นไปบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นผมรู้สึกได้ด้วยหัวใจว่าผมเป็นคนที่เธอรักที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าในนาทีนี้เราจะอยู่ห่างไกลกันบ้าง แต่เธอยังอยู่ในหัวใจของผมเสมอ ผมยังจำอ้อมกอดอันอบอุ่นของเธอ สายตาอันอ่อนโยน หัวใจที่พร้อมจะร้องไห้เมื่อเวลาที่ผมเจ็บปวด

ผู้หญิงคนที่สอง
เป็นคนที่ผมใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งในวันนี้ เธอเป็นกำลังใจให้ผมต่อสู้ เป็นที่ปรึกษาเวลาที่ผมมีปัญหา เป็นคนที่ผมยอมที่จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น เธอเป็นคนแรกที่จะยื่นมือมาดึงให้ผมลุกขึ้นในวันที่ผมพลาดล้มลง และเมื่อผมเงยหน้ามาสบตากับเธอ ผมก็รู้ในทันทีว่าผมจะต้องสู้ต่อไป

ผู้หญิงคนที่สาม
ร่าเริง บริสุทธิ์ ดวงตาอันซุกซนของเธอทำให้ผมมีร้อยยิ้มได้เสมอ แม้ในเวลาที่แสนเหน็ดเหนื่อย ผมรู้สึกถึงการมีความสุขที่สุดในโลกเมื่อมีเธออยู่ในอ้อมกอด ผมชอบแอบมองเธอเวลาเธอนอนหลับ ชอบแอบสูดดมเส้นผมของเธอ กลิ่นยาสระผมจางๆมันทำให้ผมมีความสุขเหลือเกิน เธอเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกแทบตายเมื่อเห็นเธอเจ็บปวด คำพูดเพียงคำสองคำของเธอสามารถทำให้โลกทั้งโลกสว่างสดใสได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ในความรู้สึกของผม ผมคงรู้สึกว่าผมเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกได้ ถ้าวันหนึ่งผมกลับมาบ้านแล้วพบเธอทั้งสามคนอยู่ในบ้านพร้อมๆกัน ผมคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ที่ได้ยินเพียงคำพูดบางคำจากพวกเธอ
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
V
“หิวไหมลูก”.....“เหนื่อยไหมคะที่รัก”.....“หนูคิดถึงพ่อค่ะ”


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

คำถามเปลี่ยนชีวิต

 
 
เรื่อง คำถามเปลี่ยนชีวิต

มีปริศนาที่อยากให้ช่วยกันเฉลยหน่อย “ทำไมนกกระยางจึงยืนขาเดียวเวลาหลับ”

ขอบอกว่านี่เป็นปริศนาประลองเชาว์ ไม่เกี่ยวกับความรู้รอบตัว ถ้าผ่านไป ๕ นาทีแล้วคุณยังนึกไม่ออก (หรือยังตอบไม่ได้ถูกใจทั้งคนถามและคนฟัง)
นั่นเพระคุณมัวแต่จะถามตัวเองใช่ใหม่ว่า ทำไมมันยืนขาเดียว ทำไมมันไม่ยืนสองขา ลองเปลี่ยนมาถามตัวเองใหม่สิว่า ทำไมมันหดขาเดียว ทำไมมันไม่หดสองขา เท่านี้แหละคำตอบก็ออกมาทันทีว่า “ถ้ามันหดทั้งสองขามันก็ล้มนะสิ”

ปัญหาข้อนี้ตอบได้ง่ายหากเราเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามเสียใหม่ นกกระยางยืนขาเดียวกับนกกระยางหดขาเดียว ที่จริงก็คือสิ่งเดียวกัน แต่เป็นภาพอันเกิดจากมุมมองที่ต่างกัน และสามารถชักนำความคิดของเราไปคนละทิศละทางได้

การเปลี่ยนคำถามหรือมุมมองไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ช่วยให้เรารอดพ้นจากอาการหน้าแตกเวลาถูกจู่โจมด้วยปริศนาแบบนี้ (ซึ่งบางคนเรียกอย่างเจ็บแค้นว่า ปริศนาปัญญาอ่อน) ที่จริงมันมีประโยชน์มากกว่านั้น เชื่อหรือไม่ว่ามันอาจจะมีผลถึงกลับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณได้

คงมีหลายครั้งที่คุณรู้สึกเศร้าสร้อยน้อยใจ เฝ้าบ่นกับตัวเองว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย” ไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้น เป็นเพื่อนหรือคู่รักของคุณก็ตาม การตอกย้ำกับตัวเองด้วยความคิดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว ยังอาจหมางเมินเขามากขึ้น ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอีก

ลองเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามใหม่สิว่า “แล้วเราละเข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า” การถามแบบนี้อาจช่วยให้เราพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก็ได้ เพราะอันที่จริงเราเองก็คงไม่ได้เข้าใจเขาเหมือนกัน สัมพันธภาพของผู้คนมักมีปัญหาก็เพราะทุกคนคิดแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง แต่ไม่พยายามหรือแม้กระทั่งคิดที่จะเข้าใจผู้อื่น ถึงตรงนี้คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเรา” แต่อยู่ที่ว่า “ทำไมเราถึงไม่เข้าใจเขา” และ “ทำอย่างไรเราจะเข้าใจเขาได้”

ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบบ่นในใจว่า “ทำไมฉันถึงซวยอย่างนี้” เขาอาจได้คิดและลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ทดท้อหรืองอมืองอเท้าเหมือนเก่า

การรู้จักตั้งคำถามเป็นศิลปะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต ทุกวันนี้เราถูกสอนให้รู้จักสนใจคำตอบ จนลืมว่าคำถามนั้นสำคัญกว่าคำตอบมาก คำถามนั้นเป็นตัวกำหนดคำตอบ พูดอีกอย่างก็คือ คำถามเป็นตัวกำหนดความคิดและการกระทำของเรา ถ้าตั้งคำถามผิดก็พาความคิดของเราเข้ารกเข้าพง ซ้ำอาจพาชีวิตหลงทางไปด้วย

เด็ก(และผู้ใหญ่)หลายคนชอบถามเวลามีงานมากองอยู่ข้างหน้าว่า “ฉันจะทำได้หรือ” คำถามอย่างนี้ชวนให้ท้อ แต่ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไป หากเขาถามตัวเองใหม่ว่า “ทำไมฉันจะทำไม่ได้” อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งอุปสรรคไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า ทำได้หรือไม่ได้ หากอยู่ที่แรงจูงใจ

มีคำถามหนึ่งที่คุณหมอ ประเวศ วะสี บอกว่าเป็นคำถามที่น่าเกลียดที่สุด แต่เป็นคำถามที่ระบาดไปทั่วสังคมไทย นั่นก็คือคำถามที่ว่า “ทำแล้วฉันจะได้อะไร” คำถามอย่างนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ทำให้จิตใจแคบลง และหาความสุขได้ยาก จะไม่ดีกว่าหรือหากเราถามใหม่ว่า “ทำแล้วส่วนรวม (หรือสังคม) จะได้อะไร” การคำนึงถึงส่วนรวมโดยเริ่มต้นคำถามแบบนี้ จะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น และคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามของญาติมิตรว่า “ทำแล้วเธอได้อะไร” หรือถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ได้ไปเท่าไหร่”

การถามว่า “ใคร” กับ “ทำไม” ก็ให้ผลที่แตกต่างกันมาก เวลาเกิดเหตุร้ายขึ้นมา คนส่วนใหญ่มักสนใจว่า “ใครทำ” แต่ไม่ค่อยถามว่า “ทำไมเขาจึงทำ” คำถามแรกนั้นเพียงแต่สนองความอยากรู้อยากเห็น แต่คำถามหลังช่วยให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหา และอาจนำมาเป็นบทเรียนแก่ตนเองได้

คุณโสภณ สุภาพงษ์ เล่าว่า ตอนที่ไปบริหารโรงกลั่นน้ำมันบางจากใหม่ๆ โรงกลั่นอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นประจำ ขาดทุนมหาศาล ขณะที่ขวัญของพนักงานก็ไม่ดี เพราะมีปัญหาสืบเนื่องจากเจ้าของเดิม

คุณโสภณ เล่าว่า เวลาเกิดอุบัติเหตุในโรงกลั่น จะไม่ถามพนักงานว่า “ใครทำ” แต่จะถามว่า “ทำไมถึงเกิดขึ้น” วิธีการดังกล่าวมีผลคือ ทำให้พนักงานช่วยกันหาสาเหตุและวิธีการป้องกันแก้ไข แทนที่จะซัดทอดและกล่าวโทษกัน ซึ่งมีแต่จะทำให้แตกความสามัคคีกันมากขึ้น ในเวลาไม่นานโรงกลั่นก็แทบไม่มีอุบัติเหตุเลย กำไรก็เพิ่มมากขึ้น จนมีสถานะมั่นคง ส่วนพนักงานก็ทำงานอย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คงไม่มีคำถามใดสำคัญเท่ากับคำถามเกี่ยวกับชีวิตจิตใจของเราเอง ถ้าเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อนกับการถามตัวเองไม่รู้จบว่า “เมื่อไหร่ฉันถึงจะรวยเสียที” ลองเปลี่ยนมาเป็นคำถามว่า “เมื่อไหร่ฉันถึงจะพอใจกับความรวยของฉันเสียที” ลองเหลียวดูรอบตัวเถิด ตอนนี้คุณอาจร่ำรวยอยู่แล้วก็ได้ แต่ยังไม่พอใจเสียที เพราะเอาแต่ชะเง้อมองคนอื่นที่รวยกว่า แต่ถึงแม้คุณจะยังไม่รวย พยายามบ่มเพาะความพอใจในสิ่งที่ตนมี แล้วคุณจะพบกับความรวยชนิดที่ไม่มีใครมาแย่งชิงได้ แม้จะอิจฉาตาร้อนจนลุกเป็นไฟก็ตาม


เครดิต: Forward Mail


 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้