จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ออกจากความเคยชิน

 
 
เรื่อง ออกจากความเคยชิน

“คุณจะลำบากไป ๑๐ ปี การเงินจะชักหน้าไม่ถึงหลัง สุขภาพก็จะไม่สู้ดี”
หมอดูทำนายอนาคตให้ลูกค้าคนหนึ่ง “หลังจากนั้นผมจะสบายมั่งมีศรีสุขใช่ไหมครับคุณหมอ”
“เปล่าหลังจากนั้นคุณจะชินไปเอง”

ไม่ว่าความทุกข์จะมาในรูปแบบไหน เรามักมีความสามารถในการปรับตัวปรับใจให้คุ้นเคย จนความทุกข์นั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ทนไม่ได้นั้นเพราะส่วนใหญ่มีเวลาปรับตัวน้อยเกินไป หรือไม่มีเวลาปรับตัวจนคุ้นเคย ก็คิดสั้นไปเสียก่อน

คนที่ประสบเหตุหูหนวกตาบอด แม้จะทุกข์เพียงใด แต่เมื่อเวลาผ่านไป จิตใจก็กลับเป็นปกติ บางครั้งกลับมีความสุขกว่าคนธรรมดาเสียด้วยซ้ำ ส่วนคนที่ติดคุกติดตาราง ทีแรกก็อึดอัดระทมทุกข์ แต่ไม่ช้าไม่นานจะรู้สึกว่าคุกนั้นเป็นเสมือนบ้าน คนที่อกหักรักคุดก็เช่นกัน สักพักก็จะทำใจได้ยิ้มร่าได้เหมือนเดิม

ความเคยชินทำให้เรามีภูมิต้านทานต่อความทุกข์ หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา คนที่ทำงานในปั๊มน้ำมันหรือเล้าหมู ใหม่ๆจะเหม็นตลบอบอวล แต่อยู่ไปนานๆจมูกกลับไม่ได้กลิ่นเหล่านั้นเลย

ความเคยชินนั้นสามารถแปรเปลี่ยนความทุกข์ เป็นความไม่ทุกข์ได้ เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา นั้นเป็นข้อดีของความเคยชิน แต่ข้อเสียก็มีอยู่ไม่น้อย บ่อยครั้งความเคยชินก็ทำให้ปัญหาถูกบดบัง และเรื้อรังจนแก้ได้ยาก และก่อให้เกิดผลเสียหายในที่สุด

คนที่เคยชินกับการนั่งและยืนผิดท่า จะไม่รู้ว่ากระดูกและกล้ามเนื้อเสียรูปไปแค่ไหนแล้ว นานเข้าโครงสร้างของร่างกายก็จะเสีย จนยากจะแก้ไข แถมยังก่อความเจ็บปวดทรมาน

บางคนเดินตัวเอียงจนใครเห็นใครก็ทัก แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกผิดปกติ นั่นเพราะเคยชินกับการเดินอย่างนั้นมานานนับสิบปี ยิ่งนานวันก็ยิ่งเอียงจนเหมือนหอเอียงเมืองปิซ่า ถึงตอนนั้นก็สายเกินแก้แล้ว

เจ้านายที่เครียดเป็นกิจวัตร มักไม่ค่อยรู้ตัวว่าตนเองขี้หงุดหงิดแค่ไหน เพราะนอกจากตัวเองจะทำเป็นนิสัยแล้ว คนรอบข้างก็เคยชินด้านชา จนไม่รู้สึกรู้สาไปเสียแล้ว ฟังดูก็เหมือนดี แต่ที่จริงไม่ใช่เลย เพราะนับวันท่านจะยิ่งเครียดง่ายขึ้นถี่ขึ้น จนโรคหัวใจถามหา การทำหรืออยู่กับสิ่งที่เคยชินปีแล้วปีเล่า จึงไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป บางครั้งมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนไปสัมผัสสิ่งใหม่ หรือสภาพแวดล้อมอย่างใหม่ดูบ้าง คนชอบเครียดลองเปลี่ยนเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนเที่ยวดูบ้าง อาจพบว่าตัวเองเอาจริงเอาจังมากเกินไป

ยิ่งอยู่กับเพื่อนที่สบายๆง่ายๆมากเท่าไร ก็หยิ่งเห็นความติดยึดหยุมหยิมขี้กังวลของตัวเองมากเท่านั้น แล้วจะตระหนักว่าควรจะปล่อยว่างเสียบ้าง

สำหรับคนที่เป็นเจ้านาย การรับลูกน้องใหม่ๆมาทำงาน อาจช่วยให้ตนเห็นปัญหาในหน่วยงานของตนชัดขึ้น เพราะคนที่เข้ามาทำงานใหม่นั้น จะเห็นปัญหาที่สะสมในหน่วยงานได้ชัดเจนกว่าคนที่อยู่นานจนเคยชินกับปัญหา ของที่วางระเกะระกะในห้องนั้น คนที่คุ้นเคยย่อมไม่รู้สึกถึงปัญหา เพราะเดินหลบจนคล่องแคล่ว แต่ถ้าให้คนใหม่เข้ามาในห้อง ง่ายที่เขาจะเดินเตะหรือเดินสะดุด

การลองทำสิ่งใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคยดูบ้าง จะช่วยให้เราเห็นข้อจำกัดของตัวเราเอง นอกจากจะช่วยให้เราอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รู้สึกอหังการว่าข้าเก่งทุกเรื่องแล้ว ยังช่วยให้เราพัฒนาศักยภาพใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตและการทำงาน แม้กระทั้งการเปลี่ยนเส้นทางไปที่ทำงาน จากเดิมที่ใช้ชั่วนาตาปี ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความจำเจ ยังอาจเปิดตาให้เราเห็นอะไรใหม่ๆสองข้างทาง แทนที่จะชินชากลับเส้นทางเดิม

กบนั้นเก่งในการปรับตัว เอากบไปวางไว้ในหม้อที่ตั้งอยู่กลางไฟ มันจะปรับตัวให้ชินกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นๆ แต่พอถึงจุดหนึ่งมันจะทนไม่ไหว และตายไปในที่สุด ในสถานการณ์อย่างนี้ทางออกที่ดีที่สุด คือกระโดดออกจากหม้อขณะที่ยังมีเวลา ตอนนี้เราเป็นเหมือนกบในหม้อที่ร้อนระอุหรือไม่ ถ้าใช่น่าจะคิดได้แล้วว่า ถึงเวลากระโดดออกจากหม้อหรือยัง


 เครดิต: Forward Mail


 
 


วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก

 
 
เรื่อง ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก ที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งคือ “ถ้ารักกันแล้ว เราขาดกันไม่ได้”

ยกตัวอย่างกรณีที่เราจะพบเสมอ ทันทีที่รู้ว่าคน (ที่เรา) รักจากไปสู่ที่ชอบๆ คือไปอยู่กับคนที่เขาชอบมากกว่าเรา และที่ชอบของเขาเป็นที่ๆไม่ชอบของเรา ไม่ว่าหญิงหรือชาย จะเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะเป็นจะตาย หลายรายถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง คิดว่าเป็นการบูชาความรัก

ตัวอย่างคนไข้สาวรายหนึ่ง แฟนหนุ่มมีอันต้องจำพรากจากไป.........อยู่กับสาวอื่นแทน เธอพรอดพร่ำรำพันต่อหน้าจิตแพทย์ “หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา” (เธอลืมไปว่าก่อนที่จะมีเขา เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้) “หนูรักเขามากค่ะ คุณหมอขา คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะ ว่าหนูรักเขามากแค่ไหน” ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูจากปากของเธอ ขณะที่กระแสน้ำตาที่คลอเบ้า หลั่งล้นท่วมท้น จนกระดาษทิชชูที่มีอยู่ไม่เพียงพอ จิตแพทย์เริ่มคิดถึงวัสดุผ้าที่มีคุณสมบัติในการซึมซับของเหลวได้มากกว่า

“คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก” จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน
“คุณหมอหมายความว่าอย่างไร ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ ว่าถ้าขาดเขาเสียแล้ว ชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้” น้ำเสียงเธอแสดงความไม่พอใจ

จิตแพทย์พยายามอธิบาย “สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด ไม่ได้เรียกว่าความรักหรอกครับ เขาเรียกว่า ภาวะกาฝาก ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของคุณ คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิในลำไส้ของเขา มันทำให้ชีวิตคุณไม่มีทางเลือกและขาดอิสรภาพ มันกลายเป็นภาวะจำเป็น มากกว่าความรัก”

คนไข้สาวช็อคไปชั่วขณะ เธอนึกว่าจะได้รับคำปลอบใจที่มีคุณภาพสูงกว่าที่เคยได้รับจากพ่อแม่พี่น้องและผองเพื่อน แต่หมอยังพูดต่อ ทั้งๆที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึงด้วยความมึนงง เหมือนจงใจ “ซ้ำเติม” ปัญญาสู่จิตอันขลาดเขลา

“ความรักที่แท้จริงต้องมีอิสรภาพ คนสองคนจะรักกันได้ก็ต่อเมื่อเขาทั้งสองสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพังอย่างไม่เป็นทุกข์ แต่เขาทั้งสองก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อความสุขที่มากขึ้น”

ฉับพลันทันใดในดวงจิตของหญิงสาว พุทธิปัญญาได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างพวยพุ่ง ดวงตาเห็นธรรมเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตให้หลุดพ้นจากหุบเหวห้วงอารมณ์อันมืดมิด

เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง สีหน้าเริ่มสงบ คิ้วผ่อนคลายขมวด ร้อยยิ้มน้อยๆปรากฏที่มุมปาก ก่อนแปล่งวาจาว่า “คำพูดของคุณหมอเปรียบเสมือนแสงตะวันที่สาดส่องทะลุทำลายกำแพงเมฆหมอกแห่งมิจฉาทิฐิของดิฉัน บัดนี้ดิฉันได้เห็นแล้วซึ่งสัจธรรม ต่อแต่นี้ไปจะขอดำเนินชีวิตที่เหลือ ตามรอยแห่งพุทธะ...สาธุ”

จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติ แทนการพูดประคองใจท่านนี้ คือ Dr. Scott Peck ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ ในหนังสือขายดิบขายดีชื่อ The Road Less Traveled

ซึ่งทานได้ให้แนวคิดเรื่อง “ภาวะพึ่งพิง” (Dependency) ไว้ด้วยความหมายว่า เป็นภาวะที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากการดูแลเอาใจใส่จากบุคคลอื่น ในภาวะปกติเราอาจต้องพึ่งพิงขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ในกรณีที่เราได้รับบาดเจ็บหรือกำลังป่วย แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้ว ยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจเพื่อช่วยให้เราสุขี แสดงว่าสุภาพทางจิตของเรากำลังย่ำแย่เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ เวลาที่ผ่านไปจะช่วยเยียวยาบาดแผลให้สมานจนสนิท พร้อมภูมิต้านทานทางใจที่มากขึ้น คนที่มีสุขภาพจิตดีจะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น และดำเนินชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร แต่อาจพึ่งพาในบางกรณี เพราะคนเราไม่ได้เก่งหรือทำเป็นหมดทุกอย่าง  แต่ถ้าคุณถึงขั้น “ขาดเขาไม่ได้” จงอย่าเอาคำว่า “รักเขามากเหลือเกิน” มาลวงหลอกใจตัวเอง ยิ่งถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตาย ยิ่งแสดงว่า “แม้ตัวเองก็ยังไม่รัก” หลายคนคิดว่าถ้าฉันฆ่าตัวตาย จะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป ตั้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมว่า “เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต” คิดอย่างนี้ส่วนใหญ่มักตายฟรี

ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีการศึกษา มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิต เหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ การอยู่เป็นโสด เป็นหม้าย หรือหย่าร้าง ไม่มีผลถึงกับทำให้วิญญาณต้องหลุดออกจากร่าง ผู้หญิงทั้งหลายจึงสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้อย่างมีความสุขและภาคภูมิใจในเกียรติของผู้หญิง

และหากได้พบชายใดที่เราเห็นว่าทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น และดีขึ้นกว่าการอยู่คนเดียว คุณก็อยู่ในฐานะที่มีโอกาสเลือก ไม่ใช่จำเป็นต้องเลือก หรือจำใจเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต

ขอกล่าวทวนประโยคเดิมที่จิตแพทย์ Dr. Scott Peck พูดกับคนไข้ด้วยภาษาต้นฉบับว่า
“Love is the free exercise of choice. Two people love each other only when they are quite capable of living without each other but choose to live with each other”


แต่หากคุณรู้สึกว่าจำยาก อาจท่องจำเป็นคำกลอนร้อยกรองต่อไปนี้ ก็ทำให้ง่ายขึ้น
“แม้ต่างคนต่างอยู่ก็อยู่ได้             ถึงห่างไกลใจยังสุขทุกวสันต์
 จะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลไม่สำคัญ      แต่ขอเลือกอยู่ด้วยกันฉันและเธอ”


เครดิต: Forward Mail


 
 


ตะปู

 
 
เรื่อง ตะปู

มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา ๑ ถุง และบอกกับเขาว่า “ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคน ให้ตอกตะปู ๑ ตัว เข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน”

วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง ๓๗ ตัว และก็ค่อยๆลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไปก็ลดจำนวนลง น้อยลง น้อยลง เพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

และแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อ และบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา

พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายของเขาว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆครั้งที่เจ้าสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน ๑ ตัวทุกครั้ง”

วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว จาก ๑ เป็น ๒ จาก ๒ เป็น ๓ จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อของเขาว่า
“ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ”

พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้านและบอกกับลูกว่า “ทำได้ดีมากลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่า รั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับที่เคยเป็น จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน ต่อให้ใช้คำว่า “ขอโทษ” สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น “กับเพื่อน” เพื่อนเปรียบเหมือนอัญมณีมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ และยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ แสดงให้เขาเห็นว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน และระวังสิ่งที่เราทำไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจำไว้เสมอว่า “คำขอโทษ” ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือรอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้...ตลอดไป”

หวังว่านิทานเรื่องนี้คงช่วยให้พวกเรา อยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน คบกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันขึ้นเรื่อยๆตลอดไป


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ผู้ชายเลือกผู้หญิงยังไง

 
 
เรื่อง ผู้ชายเลือกผู้หญิงยังไง

ผมเชื่อว่าผู้ชายจำนวนไม่น้อย (ร้อยละ ๙๐) ก็คิดเช่นนี้ ก็คงไม่มี “อะไรถูก อะไรผิด” เสมอไป และทำไมความคิดของผู้ชายถึงต่างจากคุณผู้หญิง แต่อยากให้คุณผู้หญิงเข้าใจ ว่าธรรมชาติของผู้ชายเป็นอย่างไร

สิ่งที่ผู้ชายสนใจในตัวผู้หญิง แบ่งออกเป็น ๓ เรื่องใหญ่ๆคือ
๑. กามารมณ์
๒. ความรัก
๓. ความนับถือ
ทั้ง ๓ ส่วนแยกจากกัน แต่สัมพันธ์กัน
ผู้ชายจะตัดสินใจเลือกผู้หญิงที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามส่วนมาเป็นภรรยา (แต่ละอย่างอาจต่างกันไปสำหรับผู้ชายแต่ละคน) ส่วนผู้หญิงที่มีคุณสมบัติไม่ครบ จะเป็นแค่ทางผ่าน

๑. สิ่งแรกที่ผู้ชายสนใจคือ “กามารมณ์”
(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) อันนี้เป็นด่านแรกที่ผู้ชายสนใจ ผู้ชายทุกคนนะเริ่มที่จุดนี้ ลองสังเกตดู ก่อนอื่นผู้ชายจะสนใจผู้หญิงที่สวย น่ารัก รูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณดี แต่งตัวดี (เรื่องของรูปทั้งหลายที่ผ่านทางตา) พูดจาไพเราะ เสียงหวานออดอ้อน (เรื่องของเสียงทั้งหลายที่ผ่านทางหู) กลิ่นกายหอมยวนใจ (เรื่องของกลิ่นที่ผ่านทางจมูก) ความสุขจากการกอดจูบ มีเพศสัมพันธ์ (เรื่องของสัมผัสทั้งหลายที่ผ่านทางกาย) ที่ผู้ชายชอบพูดกันเล่นๆว่า “ขาว สวย หมวย เซ็ก” นั่นแหละ (ส่วน ทางกาย๔๐% ทางตา๔๐% ทางหู๑๕% ทางจมูก๕%) สำหรับเรื่องเซ็กนี่ ถึงจะพิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็จินตนาการได้ และเป็น “แรงจูงใจ” ที่ทำให้ผู้ชายทั้งหลายตามตื้อตามจีบคุณอยู่ทุกวันนี้ (ตราบใดที่ ๔๐% นี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ แรงจูงใจจะยังคงมีต่อไปไม่ละความพยายาม)

อย่างไรก็ดี แม้กามารมณ์จะเป็น “อันดับแรก” ที่ผู้ชายสนใจ แต่กลับเป็น “อันดับสุดท้าย” ในการตัดสินใจเลือกผู้หญิงที่จะขอแต่งงาน คุณผู้หญิงเคยสังเกตไหม มีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ไปเที่ยวผู้หญิง แต่ไม่เคยมีสักคนที่คิดจะจีบหรือขอหญิงที่เที่ยวมาเป็นภรรยา (ยกเว้นจีบเพื่อกินฟรี) ทั้งๆที่ผู้หญิงเหล่านี้เจนจัดในการสนองกามารมณ์ของผู้ชาย แถมหากผู้ชายรู้ว่าแฟนของตนผ่านเรื่องพรรณ์นี้มากลับเป็นเรื่องใหญ่ หรือคงจะเห็นบ่อยๆ ที่เป็นแฟนกันแล้ว ผู้หญิงถูกทิ้งหลังจากเสียตัวให้ฝ่ายชาย (อาจทิ้งทันทีหรือรอสักระยะจนเบื่อ)

เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนไหนที่คิดว่าตัวเอง “ไม่สวย” ไม่ต้องเสียใจเลยครับ การที่ผู้ชายสักคนจะมาชอบคุณ อาจต้องอาศัยเวลาหน่อย กว่าจะมองเห็นคุณสมบัติในด้านอื่นๆ แต่ถ้าเขารักคุณด้วยเหตุผลอื่นที่เหนือกว่า คุณกลับมีโอกาสสูงที่จะได้เป็น “ภรรยา” ไม่ใช่ “คู่นอน” และไม่ต้องถูกทอดทิ้งในภายหลัง ความเข้าใจผิดประการหนึ่งของผู้หญิงสมัยนี้คือ ความคิดที่จะผูกมัดผู้ชายด้วย “เซ็ก” กลัวเขาจะทิ้งหากไม่ยอม ผมกล้าพูดได้เต็มปากชนิด ๑๐๐% เลยว่า “ถ้าผู้ชายคนไหนบอกว่าจะทิ้งคุณไป เพราะเหตุว่าคุณไม่ยอมมีอะไรกับเขา ผู้ชายคนนั้นกำลังหลอกคุณ และเขาหวังเฉพาะเรือนร่างของคุณโดยไม่ได้รักคุณเลย”

จริงอยู่กามารมณ์เป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องการ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถผูกมัดผู้ชายไว้ได้ เขาจะมีคุณคนเดียว หรือมีผู้หญิงอื่นอีกเท่าไหร่ก็ได้ เพราะไม่เกี่ยวกัน (ชอบกินส้ม ไม่ได้หมายความว่า จะไม่กินทุเรียน น้อยหน่า ฯลฯ) กามารมณ์เป็นสิ่งที่จากไปได้เร็วกว่าคุณสมบัติอื่นๆ (มาก่อนก็ไปก่อน) คนที่สวยพอมีอายุมากขึ้น ก็สู้สาวๆไม่ได้แล้ว หรือพอเคยชินเข้าเขาก็เบื่อ

นอกจากนี้ “แรงจูงใจที่จะได้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่สามารถใช้จูงใจได้อีก” ดังนั้นถ้าผู้หญิงรู้จักใช้แรงจูงใจทางเซ็ก ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองของผู้ชายให้เป็นประโยชน์ ดึงให้ผู้ชายผ่านระยะเวลา จนมีพัฒนาการทางด้าน (๒)ความรัก และ (๓)ความนับถือ เรื่อยไปจนถึงการแต่งงาน จึงจะนับว่าเป็นผู้หญิงฉลาด ไม่ต้องเสียคนรักไปในภายหลัง (ถ้าจะเสียก็เสียผู้ชายเลวๆที่ไม่ได้รักเราจริง แต่ไม่ต้องเสียตัวเสียใจ เมื่อวันหนึ่งเจอผู้ชายดีๆที่รักเราจริง และเราต้องเป็นแม่ของลูกเขา)



๒. สิ่งต่อไปที่ผู้ชายต้องการจากผู้หญิงคือ “ความรัก”
ความรักหมายถึงการเข้าอกเข้าใจ ความเป็นห่วงเป็นใยเอื้ออาทร การพูดคุยกันรู้เรื่อง ฯลฯ ที่เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ แบบเดียวกับที่ผู้หญิงรักผู้ชายนั่นแหละไม่ต่างกัน ความรักจะมีระดับอิทธิผลสูงกว่ากามารมณ์ที่กล่าวถึงในตอนต้น แต่สำหรับผู้ชาย การที่จะพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรักจะช้ากว่าผู้หญิง เพราะมัวไปหลงด้านกามารมณ์ซะมาก (ที่บอกว่ารักก็อิงกับอารมณ์ไม่ใช่รักแบบที่ผู้หญิงคิด) จนเมื่อเวลาผ่านไป ผ่านอุปสรรคความอยากลำบากต่างๆ มีการพิสูจน์ใจกัน มีการมุ่งมั่นสร้างหลักฐานเก็บเงินแต่งงาน สร้างอนาคต พิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงยอมรับ ฯลฯ จึงเกิดเป็นความรัก ผู้หญิงสมัยนี้ชอบเสียท่าผู้ชายก่อนที่ผู้ชายจะเกิดความรักจริงๆ จึงต้องเสียใจที่ถูกทิ้ง

ที่จริงแล้วคนสมัยก่อนเขามีกุศโลบายให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว ให้ผู้ชายอดทนทำงานเก็บเงินมาสู่ขอ ก็เพื่อพัฒนาตรงจุดนี้ เพราะมันต้องใช้เวลา และผ่านความยากลำบากมา จึงจะเกิดความรักแบบนี้ได้ (สำหรับผู้ชายก็ไปหาว่าโบราณบ้าง ไม่ทันสมัยบ้าง ที่จริงคนสมัยนี้ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ แล้วก็มานั่งเสียใจไม่รู้ว่าชีวิตทำไมมีแต่ปัญหา)

อีกเรื่องที่ไม่ค่อยยุติธรรมคือ ส่วนใหญ่ผู้ชายที่รักผู้หญิงจริงชนิดหมดหัวใจ กลับไม่ค่อยกล้าที่จะบอกหรือแสดงว่ารัก ส่วนผู้ชายที่ปากหวานบอกรัก กลับเป็นผู้ชายประเภทเจ้าชู้ผ่านผู้หญิงมามาก (และจะผ่านต่อไป) สาเหตุก็คือ ผู้ชายที่รักเดียวใจเดียว จะไม่ค่อยสันทัดกับการจีบผู้หญิงและไม่ค่อยมีประสบการณ์ทางด้านนี้ กลัวว่าหากทำอะไรผิดพลาดอาจสูญเสียคนที่ตนรักไป ในขณะที่ผู้ชายเจ้าชู้จะมีประสบการณ์มามากในการจีบผู้หญิง รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไร และถึงจีบไม่สำเร็จก็ไม่กลัวเพราะไม่ได้รักอะไรมากมาย เป็นประเภทที่ว่า บอกว่ารักเดียวใจเดียว (แต่ว่าเสียวได้หลายคน) เชื่อไหมครับ ผู้หญิงส่วนใหญ่กลับมองไม่ออก ว่าผู้ชายคนไหนที่รักจริง (รำคาญด้วยซ้ำ) ชอบแต่จะฟัง “คำพูดที่นุ่มนวล ชวนฝัน” แค่บอกว่ารักก็เชื่อสนิท..... เสร็จเสือผู้หญิง



๓. สิ่งต่อไปคือ “ความนับถือ” หรือ “ความดี”
ผู้ชายต้องการให้ผู้หญิงวางตัวในลักษณะที่เป็นที่น่านับถือเกรงใจ หรือพูดง่ายๆคือ “เป็นคนดี วางตัวเหมาะสม” ผู้ชายส่วนใหญ่จะชอบผู้หญิงที่อ่อนหวานเรียบร้อย รักนวลสงวนตัว ให้เกียรติและมีความซื่อสัตย์ต่อสามี และมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง (ไม่จู้จี้ขี้บ่น ไม่หึงหวงแบบไร้เหตุผล ไม่ทำตัวหวาดระแวงเป็นนักสืบ ฯลฯ) แต่จะมีสักกี่คนที่วางตัวเหนือกว่าทางด้านวุฒิภาวะ ลองผู้หญิงนิ่งๆรู้ทันแต่ไม่เอะอะโวยวายดูสิ ขี้คร้านผู้ชายจะเกรงใจไม่กล้าทำอีก เรื่องความดีหรือความนับถือนี่เป็นสิ่งสำคัญ “มากที่สุด” ที่ผู้ชายอยากได้หญิงบริสุทธิ์มาเป็นภรรยา ก็เพราะมีส่วนสัมพันธ์กับความดี ไม่ใช่เห็นแก่ตัวอย่างที่ผู้หญิงคิดกัน (แต่ทางกามารมณ์ก็มีอยากได้ของใหม่ๆ สะอาด กระชับ ได้อารมณ์ และเป็นของเราคนเดียว ไม่ใช้รวมกับใคร) อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า ไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม (ก็ขนาดพ่อแม่รักจะตาย ยังขาดความยับยั้งชั่งใจ แอบหนีไปมีอะไรกับใครได้ จะมั่นใจได้ยังไง ว่าต่อไปจะไม่แอบไปมีชู้)

ผู้ชายที่หลอกฟันหญิงบริสุทธิ์แล้วทิ้ง ก็เพราะเขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดีที่น่านับถืออีกต่อไป (ผู้หญิงดีๆที่เป็นหม้ายเพราะสามีตาย ยังน่าขอแต่งงานด้วยมากกว่าผู้หญิงโสดที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม) อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนไหนที่ชีวิตผิดพลาดไปแล้ว ขอให้หยุดแค่นั้นอย่าให้เกิดขึ้นอีก (ถ้าคุณเป็นคนดีจริงๆ เขาจะให้อภัยคุณ แม้จะเสียใจลึกๆ) คุณลองดูคู่แต่งงานที่อยู่กินกันมานาน ดูคุณพ่อคุณแม่ก็ได้ ทุกวันนี้เขายังหวานแหววแบบหนุ่มสาวไหม เมื่อเวลาผ่านไป ความสำคัญทางกามารมณ์ลดลง ก็จะมี “ความรัก” และ “ความนับถือ” หรือ “ความดี” นี่แหละที่จะทำให้อยู่กันไปได้ตลอด


ที่เขียนมาทั้งหมด ก็หวังว่าจะให้เป็นวิทยาทานแก่คุณผู้หญิงทั้งหลายนะครับ (คุณผู้หญิงคงจะอ่านไปด่าไป ที่ผู้ชายมีความคิดสกปรกเห็นแก่ตัวแบบนี้) สำหรับตัวผมเองเป็นผู้ชาย อยู่ในสังคมของผู้ชาย ย่อมเข้าใจนิสัยของผู้ชายดี ก็อยากให้ผู้หญิง (ที่พอจะรับฟังในสิ่งที่ผมพูด) มีความสุขสมหวัง ไม่ต้องเสียอกเสียใจและพบกับปัญหาชีวิตคู่ (แบบว่าเห็นมามาก)

ยังไงก็ตาม อ่านแล้วก็อย่านึกด่าผมนะครับ


เครดิต: Forward Mail


 
 


ดั่งปรารถนา

 
 
เรื่อง ดั่งปรารถนา

เรื่องน่ารักที่อยากให้อ่าน

ชายหนุ่มคนหนึ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ หน้าตาหล่อเหลา มีการศึกษาสูง มีงานการที่มั่นคง มีความก้าวหน้าในอนาคต มีคนรักใคร่รอบข้าง เรียกว่าใครเห็นใครรู้เป็นต้องอิจฉา

วันหนึ่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายคนนี้ยิ่งสุดยอดสมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อพี่ของเขายอมควักเงินก้อนโตซื้อรถสปอร์ตคันงามเป็นของขวัญให้กับน้องชาย ไม่ต้องบอกว่าเจ้าตัวจะยินดีปรีดาแค่ไหน เพราะรถสปอร์ตสุดหรูคันนี้ ชายหนุ่มนายนี้ฝันอยากได้เป็นเจ้าของมาตลอดชีวิต เมื่อความฝันเป็นจริง สิ่งที่ชายหนุ่มคิดทำอย่างแรกคือ ขับเจ้ารถสปอร์ตตระเวนไปตามที่ต่างๆให้สมอยาก ใจหนึ่งต้องการทดสอบแรงม้าที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในห้องเครื่อง ว่าจะมีเรี่ยวแรงเต็มกำลังแค่ไหน อีกใจก็แน่นอนว่า ใครที่มีรถสวยแรงขนาดนี้ คงไม่บ้าเก็บเอาไว้ดูตามลำพังที่โรงรถในบ้าน

ขับโฉบเฉี่ยวไปมาสักพัก ก็ถึงเวลาพักทั้งเครื่องและคน ชายหนุ่มจัดแจงจอดรถข้างถนน ระหว่างกำลังพักผ่อนอิริยาบถ เขาเห็นเด็กคนหนึ่งลูบๆคลำๆรอบรถคันงามด้วยกิริยาท่าทีชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของสิ่งที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝัน เขาเดินยืดอกมาที่รถ พร้อมพูดจาทักทายเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจดั่งขุนศึกผู้ชนะสงคราม

“ระวังหน่อยไอ้น้อง เดี๋ยวเป็นรอย” เขาบอก

เด็กคนนั้นมองไปยังชายหนุ่มเจ้าของเสียง ก่อนจะพูดตอบ
“รถของพี่เหรอ สุดยอดจริงๆ”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว” เขาตอบ

“พี่ซื้อมาราคาเท่าไหร่เหรอ” เด็กคนเดิมถาม

“คนอื่นอาจจะต้องควักสตางค์ซื้อเอง แต่พี่ไม่ต้อง เพราะพี่ชายพี่ซื้อให้เป็นของขวัญนะน้องเอ๋ย”

“โอ้โห ดีจัง ผมอยาก.........” เด็กคนเดิมพูดตะกุกตะกักชะงักในตอนท้าย

ชายหนุ่มคิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่กล้าพูดต่อ เพราะที่เด็กอยากจะพูด แต่ยั้งปากยั้งคำไว้นั้น คงต้องการบอกว่าอิจฉาที่มีพี่ที่แสนดีซื้อรถสุดหรูให้เป็นของขวัญ ตัวของเขาคงอยากจะเป็นเจ้าของบ้าง

แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคิดกลับผิดถนัด
“โอ้โห ดีจัง ผมอยาก..........เป็นอย่างพี่ชายของพี่จัง” เด็กคนนั้นพูด
“ผมจะได้ซื้อรถให้น้องชายของผมบ้าง”

ชายหนุ่มถึงกลับอึ้ง ในสังคมทุกวันนี้ที่ใครๆตั้งหน้าตั้งตาแต่จะรับ หรือบางคนไม่ยอมรอ ใช้กำลังความได้เปรียบแย่งชิงของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง แต่เด็กคนนี้กลับคิดสวนทางใครๆ เขาอยากเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ

ชายหนุ่มมองเด็กด้วยความรู้สึกทึ่งและพูดออกมาทันทีว่า
“อยากนั่งรถเล่นกับฉันไหม” “ครับ อยากมากเลย”

หลังจากขับรถเล่นอยู่พักหนึ่ง เด็กชายหันมาพูดด้วยดวงตาแวววาว
“คุณจะกรุณาขับรถไปหน้าบ้านผมได้ไหมครับ”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เขาคิดว่าเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มต้องการอะไร เขาคงต้องการให้เพื่อนบ้านเห็นว่าเขาได้นั่งรถคันโตกลับบ้าน แต่ชายหนุ่มคิดผิดอีกแล้ว

“คุณจอดตรงบันไดนั่นล่ะครับ” เขาวิ่งขึ้นบันได จากนั้นสักครู่จึงกลับมา แต่เขาไม่ได้วิ่ง เขาอุ้มน้องตัวเล็กๆที่ขาพิการมาด้วย และวางน้องลงที่บันไดล่าง เขากอดน้องไว้และชี้ไปที่รถ

“นั้นไงบัดดี้ รถคันที่พี่เล่าให้ฟัง พี่ชายของเขาซื้อให้เป็นของขวัญ เขาไม่ต้องเสียตังค์เลย สักวันหนึ่งพี่จะซื้อให้น้องบ้าง น้องจะได้ดูของสวยๆงามๆด้วยตาของน้องเอง เหมือนที่พี่เล่าให้ฟัง”

ชายหนุ่มลงจากรถ แล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นรถ พี่ชายปีนตามขึ้นมานั่งใกล้ๆ แล้วทั้งสามก็เริ่มออกเดินทาง

และแล้วชายหนุ่มก็ได้ตระหนักรู้แล้วว่า
“ยังมีอีกหนึ่งความสุขซะยิ่งกว่าการได้รับ” คืออะไร


เครดิต: Forward Mail


 
 


วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ทำงานอย่างชาญฉลาด

 
 
เรื่อง ทำงานอย่างชาญฉลาด

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่ แต่น่าเสียดายที่มีปัญหาอยู่ว่า หมู่บ้านจะขาดน้ำหากฝนไม่ตก เพื่อแก้ปัญหานี้ กรรมการหมู่บ้านจึงประกาศหาคนรับจ้างขนส่งน้ำมาให้คนในหมู่บ้านใช้ ชายหนุ่มสองคนเสนอตัวเข้ารับงานนี้ กรรมการหมู่บ้านตกลงทำสัญญากับคนทั้งสอง โดยหวังว่าเขาสองคนจะได้แข่งขันกันทำงาน และรักษาราคาให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ

ทันทีที่ได้รับการว่าจ้าง เอ็ด ชายคนแรกรีบวิ่งไปซื้อกระป๋องตักน้ำมา ๒ ใบ แล้วรีบตักน้ำจากลำธารมาใส่ถังคอนกรีตให้คนในหมู่บ้านไว้ใช้ในทันที ทุกๆเช้าเขาจะรีบตื่นก่อนคนอื่น เพื่อดูแลให้มีน้ำในถังเพียงพอสำหรับคนในหมู่บ้าน แม้งานจะหนักแต่เอ็ดก็มีความสุข เพราะมีเพียงเขาและชายอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่ได้งานนี้

ชายคนที่สอง บิล หายตัวไปเป็นเดือน ซึ่งทำให้เอ็ดดีใจมาก เพราะไม่ต้องแบ่งงานให้ใคร และได้รับรายได้เต็มๆเพียงลำพัง แทนที่จะวิ่งไปซื้อถังน้ำ บิลเตรียมเขียนแผนธุรกิจ จัดตั้งบริษัทหาผู้ร่วมทุน จ้างผู้จัดการ และกลับมาพร้อมทีมงานก่อสร้างใน ๖ เดือนต่อมา เขาใช้เวลาหนึ่งปีสร้างท่อน้ำสแตนเลสขนาดใหญ่ เชื่อมต่อระหว่างลำธารเข้าหมู่บ้าน ในงานวันปิดท่อน้ำ บิลประกาศว่าน้ำของเขาสะอาดกว่าน้ำของเอ็ด เพราะบิลรู้ว่ามีคนบ่นเรื่องคุณภาพน้ำที่เอ็ดขนมาเสมอๆ นอกจากนี้บิลยังแจ้งว่า เขาสามารถทำให้ทุกคนมีน้ำใช้ตลอด ๒๔ ช.ม. และตลอดเจ็ดวันอีกด้วย ขณะที่เอ็ดส่งน้ำให้หมู่บ้านได้เฉพาะวันทำการเพราะเขาหยุดทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ สุดท้ายบิลประกาศว่าเขาจะเก็บค่าน้ำถูกกว่าเอ็ด ร้อยละ ๗๕ โดยที่ทุกคนจะได้น้ำคุณภาพดีกว่า สิ้นเสียงบิลทุกคนปรี่กันเข้าไปที่ก๊อกน้ำจากท่อที่บิลสร้าง

เอ็ดพยายามที่จะแข่งขันกับบิล ด้วยการลดราคาลงร้อยละ ๗๕ ซื้อถังน้ำเพิ่มอีก ๒ ถังพร้อมฝาเปิด และใช้วิธีลากทีละ ๔ ถัง ในแต่ละเที่ยว ทั้งยังจ้างลูกชายทั้งสองคนมาช่วยขนน้ำรอบกลางคืนและช่วงวันหยุด เมื่อเด็กทั้งสองโตขึ้นและถึงเวลาจากบ้านเพื่อไปเรียนต่อ เอ็ดบอกลูกทั้งสองว่า “จงรีบกลับมา เพราะวันหนึ่งธุรกิจจะตกเป็นของเจ้า” ไม่ทราบเหตุผลกลใด จนแล้วจนรอดลูกทั้งสองของเอ็ดไม่กลับมาบ้านอีกเลย

ขณะเดียวกันบิลมีความคิดว่า ถ้าหมู่บ้านนี้ต้องการน้ำ หมู่บ้านอื่นก็คงขาดน้ำเหมือนกัน เขาจึงปรับปรุงแผนธุรกิจ เพื่อนำน้ำที่มีมากด้วยคุณภาพและปริมาณ สะอาดแต่ราคาย่อมเยาไปเสนอให้แก่หมู่บ้านอื่น เขาคิดเงินแค่ถังละเพนนีเดียว แต่บิลสามารถส่งน้ำได้เป็นล้านๆถังต่อวัน น้ำไหลจากลำธารสู่แต่ละครัวเรือน ทุกวี่ทุกวัน โดยที่บิลไม่ต้องไปทำงานเลยตลอดเวลาที่น้ำไหลเข้าบ้านประชาชนในหมู่บ้าน เงินก็ไหลเข้าบัญชีของเขาอย่างสม่ำเสมอ บิลใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ขณะที่เอ็ดทำงานหนักตลอดชีวิต พร้อมปัญหาการเงินที่อยู่คู่กับเขาจนวาระสุดท้าย

“เรากำลังสร้างท่อหรือลากถัง”
“เรากำลังทำงานอย่างหนักหรือทำงานอย่างชาญฉลาด”


เครดิต: Forward Mail


 
 


ทำไมไม่มีคนมาจีบ(ตามหลักการตลาด)

 
 
เรื่อง ทำไมไม่มีคนมาจีบ(ตามหลักการตลาด)

คุณๆเคยประสบกันบ้างรึเปล่า ว่าในชีวิตไม่มีคนมาจีบ ทั้งๆที่หน้าตาดี ก็ทำไมยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเค้าหว่า บางทีหน้าตาดีของเรานิสัยดีของเราอาจไม่ตรงกับใจเขา

ถ้าเอาหลักการตลาดมาอธิบาย ก็ต้องบอกว่า สินค้าดี ไม่ใช่ว่าจะการันตีว่าจะขายดีเสมอไป Product มันเป็นแค่ P ตัวที่หนึ่ง ยังต้องดู Price ราคา Place ช่องทางการจัดจำหน่าย และ Promotion ควบคู่ไปด้วย

Price ของเราไม่ได้หมายถึงสินสอด แต่หมายถึงสิ่งที่เขาต้องจ่ายเพื่อมาจีบหรือเป็นแฟนเรา บางคนตั้งกำแพงเยอะว่าแฟนฉันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เจ้ากี้เจ้าการเปลี่ยนแปลงชีวิตแฟนใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าเท้าจรดหัว ขี้หึง จุกจิก แบบนี้แปลว่าคุณตั้งราคาไว้สูง คนจะเข้าหาคุณต้องมีรถขับ ต้องรวย ต้องหลอ อันนี้ก็ถือเป็นราคาที่คุณตั้งไว้เหมือนกัน

Place คือช่องทางการจัดจำหน่าย แต่ประยุกต์มาอธิบายได้ว่า คุณมีช่องทางให้เขาพบปะเจอะเจอได้มากแค่ไหน บางคนมีชีวิตอยู่สองที่ คือบ้านกับมหาวิทยาลัย บางคนอยู่เฉพาะโต๊ะกลุ่มโต๊ะเดียว เกาะเพื่อนแจ แถมยังไม่เคยทำกิจกรรมอะไรเลย เลิกปุ๊บกลับบ้าน มีรถที่บ้านมารับ ไม่มีใครรู้จักพบเห็นอะไรดีๆในตัวคุณเท่าไหร่ หรือมีคนชอบแต่ไม่เคยมีโอกาสแม้แต่จะได้ยิ้มให้ เคยไหมครับเห็นโฆษณาในทีวีแล้ววิ่งไปดูหน้าห้างไม่มีขาย ปากซอยก็ไม่มี ที่ไหนก็ไม่มี จนไม่อยากซื้อแล้ว

สุดท้าย Promotion อันนี้ถ้าดีจริงแจ๋วจริง ไม่ต้องใช้มากหรอกครับ Promotion ทางการตลาด หมายถึงการส่งเสริมการขาย พวกประชาสัมพันธ์การสร้างภาพต่างๆ การลดแลกแจกแถม ประเภทจีบวันนี้ดูหนังฟรีสองเรื่อง อย่างคนแถวนี้เธอก็ลุกมาทำไดอารี่ เอารูปสวยๆปิ๊งๆของเธอไปแปะไว้ ผมก็อนุมานเอาว่า เธอจะทำโปรโมชั่นตัวเธอเอง การเป็นนักกีฬา เป็นหัวหน้าห้อง เป็นลีดเดอร์ เป็นคนเรียนเก่งแล้วได้รับการยกย่องเชิดชู เป็นตัวแทนนักเรียน ได้รางวัลโน่นนั่นนี่ ล้วนแล้วแต่เป็นการ Promotion ในเชิง PR ครับ

สมัยนี้เขาว่ากันไปถึง P ตัวที่ห้าหกแล้ว คือ

Packaging คือ หน้าตาถ้าประยุกต์มาก็น่าจะหมายถึง บุคลิก หน้าตา การแต่งตัว การพูดจา อะไรที่ดูได้ฟังได้

สุดท้ายคือ People ปกติหมายถึงคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสินค้าบริษัทนั้นๆ แต่กรณีที่เราคุยกันผมว่ามันคือเพื่อนที่คุณคบหาอยู่ พ่อแม่พี่น้อง ซึ่งจะส่งผลถึงภาพพจน์คุณด้วย สมมุติมีคนมาจีบคุณเป็นพวกครอบครัวเหลิมๆเนี่ยเอาไหมล่ะ ง่า~ อย่าคิดมาก ผมหมายถึงนาย ชาเหลิม เหิมเกริม รองนายกสมาคมนักปั่นจิ้งหรีดแห่งประเทศไทยนะ ^_^


เครดิต: Forward Mail


 
 


กบตัวเล็ก

 
 
เรื่อง กบตัวเล็ก

ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของลูกกบตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ได้มาจัดการแข่งขันเพื่อจะปีนขึ้นไปบนยอดเสาไฟฟ้าแรงสูง มีกลุ่มชนชาวกบมากมายมารอชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้

การแข่งขันเริ่มขึ้น พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีชนชาวกบตัวใดจะเชื่อว่ากบตัวเล็กๆเหล่านี้จะปีนขึ้นไปจนถึงยอดได้ มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยินเป็นต้นว่า “เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดได้หรอก มันยากลำบากขนาดนั้น” หรือ “เขาไม่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จหรอก เสามันสูงขนาดนั้น”

เจ้ากบตัวน้อยๆเหล่านี้ก็เริ่มที่จะร่วงหล่นลงไปทีละตัวๆ ยกเว้นเจ้าตัวหนึ่งซึ่งยังปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้นและสูงขึ้น

ฝูงกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน “มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก” กบส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อยและยอมแพ้ แต่มีกบตัวหนึ่งที่ยังตั้งหน้าตั้งตาปีนสูงขึ้นสูงขึ้น เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้

เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่นๆต่างยอมแพ้ที่จะปีนสู่ยอดเสาจนหมดสิ้น ยกเว้นกบตัวเล็กๆตัวหนึ่ง ด้วยความพยายามสุดกำลัง มันก็สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้ กบทุกๆตัวอยากรู้ว่าเจ้ากบตัวเล็กๆตัวนี้ทำได้อย่างไร กบคู่แข่งขันต่างอยากรู้ว่าเจ้ากบตัวเล็กๆนี้ มีพลังปีนขึ้นสู่ยอดเสาอันเป็นเป้าหมาย จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร

เรื่องกลับกลายเป็นว่า กบผู้ชนะตัวนั้นหูหนวก!!!

เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า อย่าฟังคำพูดในด้านลบ หรือการมองในแง่ลบจากคนอื่น เพราะเขาเหล่านั้นจะดึงความฝันความปรารถนาในหัวใจคุณออกไป ให้ระวังในพลังของคำพูดเสมอ เพราะทุกสิ่งที่คุณได้ยินและได้อ่านมัน จะส่งผลต่อการกระทำของคุณ เพราะฉะนั้นตลอดเวลาขอให้คุณคิดบวก และเหนือจากนั้น จงทำเป็นหนูหนวกต่อคำพูดที่บอกว่า คุณไม่สามารถทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้ ให้คิดเสมอว่า คุณสามารถทำได้ กระตุ้นเตือนตัวเองอย่างนี้ตลอดเวลา


เครดิต: Forward Mail


 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้