จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562

นิสัยเสีย ๒๐ ประการ ต้นเหตุรักขาดสะบั้น

 
 
เรื่อง นิสัยเสีย ๒๐ ประการ ต้นเหตุรักขาดสะบั้น 

คงไม่มีใครปฏิเสธได้หรอกนะว่าตัวเองไม่มีนิสัยเสีย หรืออย่างที่เขาว่า “No one is perfect” แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้นิสัยเสียเหล่านั้นใช่ไหมล่ะ โดยเฉพาะกับความรัก บางคนก่อนที่จะคบกับใครเป็นแฟนนั้นก็เข้ากั๊นเขากันได้ดีเหมือนปี่กับขลุ่ย แต่พอลองมาคบเป็นแฟนดูแล้ว ทำไมถึงกลับตาลปัตรไปได้ ลองมาศึกษากันดูสักนิดว่า นิสัยเสียๆ๒๐ข้อ ที่จะทำให้ความรักของคุณขาดสะบั้นมีอะไรบ้าง เผื่อใครที่มีนิสัยเหล่านี้ อ่านแล้วจะได้รีบปรับปรุงตัว ใช้เป็นเคล็ดลับป้องกัน “แฟนหาย” แล้วจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะจะบอกให้


๑.) ชอบทำตัวเป็นนักขุด
อย่าทำตัวเป็นนักขุด อ๋อ ก็ขุดคุ้ยแต่เรื่องเก่าๆของแฟนเก่าคุณยังไงล่ะ เพราะจะทำให้แฟนคนปัจจุบันของคุณเกิดความไม่มั่นใจในตัวคุณ ในเมื่อคุณรักเขาแล้วก็ควรจะมีเขาคนเดียวในหัวใจ อย่าให้ปากของคุณสร้างให้เกิดรอยร้าวในหัวใจฝ่ายตรงข้ามเลยนะจ๊ะ 

๒.) ไม่ชอบรับฟังคนอื่น
ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือรับฟังเรื่องราวของเขาบ้าง ไม่ใช่ให้เขาเป็นฝ่ายรับรู้และรับฟังแต่เรื่องของคุณอย่างเดียว อย่างนั้นมันไม่แฟร์ 

๓.) ชอบทำตัวเป็นเงาตามติดแจ
คุณควรแบ่งเวลาให้เขาอยู่กับสังคมและเพื่อนของเขาบ้าง ไม่ใช่มาคอยอยู่กับคุณตลอด ๒๔ ชม. ขนาดคุณเองยังอยากมีเวลาส่วนตัว หรือมีเวลาให้กับเพื่อนคุณเองบ้างเลย (แค่เอาใจเขามาใส่ใจเรา) 

๔.) ชอบออกคำสั่ง
มีแฟนนะจ๊ะ ไม่ใช่มีลูกน้อง เพราะฉะนั้นอย่าออกคำสั่งให้แฟนของคุณทำโน่นสิทำนั่นสิ อันนี้ดีทำนะหรือว่าอย่างนั้นไม่ดีอย่าทำ (ก็ยอมๆเขาบ้างบางครั้งไม่ตายหรอกเนอะ)

๕.) ยิ่งกว่ากรรไกร
อย่าทำตัวเป็นกรรไกรคอยตัดหรือฉีกหน้าแฟนคุณต่อหน้าคนอื่น ไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะห้ามเอาปมด้อยของเขามาล้อเล่นอย่างสนุกสนานต่อหน้าคนอื่น แม้กระทั่งกับเพื่อนสนิทกันก็ตาม (ไม่มีใครเขาชอบหรอกนะ)

๖.) ชอบซ้ำเติมข้อผิดพลาด
อดีตคืออดูด เอ้ย! อดีตให้มันผ่านแล้วผ่านไปเถอะ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเอาเรื่องที่เขาผิดพลาดในอดีตขึ้นมาตอกย้ำอีก ก็จะทำให้ยิ่งทะเลาะกันเข้าไปใหญ่ จะทำให้ยิ่งเพิ่มความแตกร้าวมากขึ้น

๗.) พกแฟนไปทุกสถานที่
อย่าคิดว่าเขาจะชอบทุกๆสถานที่ที่คุณพาไป นั่นเป็นความคิดที่ผิด บางงานเขาก็อาจไม่อยากจะไปก็ได้ หรือไม่ถ้าคุณมีเพื่อนไปด้วยแล้ว ละวางเขาบ้างก็ได้ ไม่ต้องทำตัวเป็นปาท่องโก๋ตลอดเวลา

๘.) ขี้หึงสุดๆ
หึ่ง หึ่ง หึ่ง หึ่ง ไม่ใช่เสียงผึ้งหรอกนะคะ แต่เป็นการหึงลมออกหูของคุณต่างหาก แฟนคุณเขาจะมีเพื่อนที่เป็นผู้หญิงเพศเดียวกับคุณบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร ทีคุณยังมีเพื่อนผู้ชายตั้งเยอะ การคบกันก็ต้องมีความไว้ใจซึ่งกันและกัน ความรักถึงจะยืนยาว

๙.) ความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ลองหันมาปรึกษาแฟนคุณบ้าง เวลาที่คุณต้องทำข้อตกลงหรือนัดหมายกับเขา ยอมให้เขามีส่วนร่วมรับรู้และแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆบ้าง อย่าลืมนะว่าสมัยนี้มันประชาธิปไตยแล้วจ้ะ การที่คุณตัดสินใจตามความคิดเห็นของตัวเองตลอดเวลา มันเหมือนกับเป็นการบังคับเขาทางอ้อมนะ

๑๐.) จุกจิกจู้จี้
อย่าทำตัวเป็นคนแก่ ไม่เอานะไม่ดี ในช่วงคบกันแรกๆเขาอาจจะทนได้ แต่พอนานวันเข้า อันนี้ไม่รับประกัน เพราะความอดทนอาจจะหมดไป เหลือไว้แต่ความรำคาญใจก็ได้นะเออ

๑๑.) เป็นคนช่างตำหนิ
อย่าคิดว่าความคิดหรือข้อเสนอของเขาเป็นเรื่องไร้สาระไม่น่าฟังไม่เข้าท่า ไม่มีใครทนได้หรอกนะที่จะมีคนมาคอยตำหนิติเตียนอยู่ตลอดเวลา

๑๒.) พูดชมหรือให้กำลังใจใครไม่เป็น
ไม่เค๊ยไม่เคยที่จะเอ่ยปากชมแฟนของคุณเวลาที่เขาทำดีให้คุณ อย่างนี้ต้องหัดแล้วนะ ควรทำบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าเว่อร์จนเขาคิดว่าคุณประชดล่ะ

๑๓.) คำขอโทษไม่เคยหลุดออกจากปาก 
I’m so sorry หัดกล่าวคำขอโทษซะบ้างเวลาที่คุณทำผิด การยอมรับความผิดแต่โดยดี จะทำให้เขารู้สึกว่าคุณมีความรับผิดชอบ และทำให้เขาไว้วางใจ

๑๔.) ช่างดุช่างด่า
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบด่าว่าแฟนคุณเสียๆหายๆต่อหน้าคนอื่น เลิกเถอะค่ะ เพราะนี่เป็นข้อสำคัญที่ทำให้ความรักของคุณเกิดรอยร้าวแบบประสานไม่สนิทนะคะ เพราะการทำแบบนี้ทำให้เขาเสียหน้าและโกรธคุณมาก

๑๕.) ขี้งอน
ส่วนมากเวลาผู้หญิงโกรธมักจะทำหมางเมินไม่พูดไม่จา ที่เคยพูดน้ำไหลไฟดับจนลิงหลับสัปหงก ก็เงียบสนิทแบบนี้ไม่เวิร์ค คุณควรจะบอกว่าโกรธเขาเรื่องอะไร จะได้ปรับความเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น และเขาก็จะได้ง้อคุณให้ถูกวิธียังไงล่ะ

๑๖.) ขี้บ่น
บ่น บ่น บ่น บ่น เช้า กลางวัน เย็น ไม่รวมไปถึงเวลาอาหารว่าง คิดดูแล้วกันว่าถ้ามีคนขี้บ่นอยู่ใกล้ๆคุณ คุณจะรำคาญขนาดไหน แล้วอย่างนี้ถ้าคุณขี้บ่น แล้วแฟนคุณจะรู้สึกอย่างไร

๑๗.) ซ่กมกเป็นที่หนึ่ง (ซ่กมก แปลว่า สกปรก)
การเป็นผู้หญิงสำคัญที่สุดคือเรื่องของความสะอาด ไม่มีผู้ชายคนไหนยอมทนคบกับผู้หญิงที่ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สกปรก วางของระเกะระกะไม่เป็นที่เป็นทาง เพราะผู้ชายส่วนมากมักวาดฝันว่าแฟนของตัวเองอย่างน้อยต้องมีความเป็นกุลสตรีบ้าง สัก ๑๐ หรือ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ยังดี

๑๘.) โกหกเป็นไฟ
อย่าหัดเป็นคนโกหก เพราะมันจะติดเป็นนิสัย มีอะไรก็พูดตรงๆ แต่ไม่ใช่แบบขวานผ่าซาก หรือมะนาวไม่มีน้ำ

๑๙.) ชอบทำตัวเป็นแม่
ฮั่นแน่~ นี่แฟนนะ ไม่ใช่แม่ เพราะฉะนั้นอย่าริทำตัวเป็นคุณแม่คนที่สอง หรือผู้ปกครองคนที่สองของแฟนคุณเด็ดขาด อย่าไปคอยบงการชีวิตของเขา สั่งสอนเขาเหมือนเขาเป็นลูกคุณ ทำแบบนี้จะเพิ่มความกดดันให้เขาต่อต้านคุณ ไม่ยอมคุณ ถึงแม้บางสิ่งที่คุณพูดอาจจะถูกก็ตาม

๒๐.) เป็นคนไม่หวานเอาซะเลย
คุณลืมความหวานชื่นในอดีตไปซะแล้ว ว้า.....อย่างนี้รักของคุณก็ขาดน้ำตาลหรือความหวานนะสิ คุณน่าจะลองรำลึกถึงอดีตหวานๆกับแฟนบ้าง เพราะมันจะทำให้ความรักของคุณอยู่แบบไม่จืดจาง

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การปล่อยวาง

 
 
เรื่อง การปล่อยวาง 

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จิตของเรานั้นเหมือนกับลิง 

เราจึงเรียนรู้เรื่องจิตใจของเราได้มากมายจากพฤติกรรมของลิง 
ลิงนั้นเกลียดกะปิ ถ้ากะปิถูกมือมันเมื่อไหร่ มันจะถูนิ้วกับพื้นจนเลือดไหลเต็มมือ จนกว่ากลิ่นกะปิจะหายไปในที่สุด จนกลายเป็นว่า “กะปิ” ถึงจะร้ายก็ไม่ร้ายเท่า “ความเกลียดกะปิ” ที่มือลิงเป็นแผลเหวอะหวะ ไม่ใช่เพราะกะปิ หากเป็นเพราะความจงเกลียดจงชังกะปิต่างหาก สิ่งที่เราเกลียดนั้น บ่อยครั้งไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดชังในจิตใจเรา ความเกลียดชังหรือพูดให้ถูกก็คือ ความรู้สึกอยากผลักไส ซึ่งรวมทั้งความโกรธและความกลัว จึงเป็นเจ้าตัวร้ายที่เราต้องระวังให้มากๆ

แต่นั้นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความจริงเท่านั้น
นอกจากความผลักไสแล้ว ความยึดติดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังไม่แพ้กัน

กลับมาที่ลิงจอมซนอีกที ในอินเดียลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน เพราะชอบขโมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง โดยใช้กล่องไม้ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆพอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้ ในกลองมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิงวางไว้เป็นเหยื่อล่อ วันดีคืนดีลิงมาที่สวน เห็นถั่วอยู่ในกล่องก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว แต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่อง เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้ ลิงพยายามดึงมือเท่าไหร่ก็ไม่ออก พอชาวบ้านมาจับก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้ เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว สุดท้ายก็ถูกคนจับได้ ลิงหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น มันก็เอาตัวรอดได้ แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย จึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก

มีหลายอย่างที่เราอยากได้ใฝ่ฝันจนถึงกับยึดไว้อย่างเหนี่ยวแน่น เวลาประสบปัญหา เพียงแค่คลายสิ่งที่ยึดติดนั้นเสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย จึงเกิดผลเสียตามมามากมาย ไม่คุ้มกับสิ่งที่ติดยึด จะชอบหรือพึงใจกับอะไรก็ตาม อย่าถึงกับยึดติดจนเหนี่ยวแน่นเกินไป เพราะโอกาสที่หน้ามืดตามัวนั้นมีสูงจนหาทางออกไม่เจอ ปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น ถ้าเรารู้จักปล่อยวางบางสิ่งเสียบ้าง มันก็จะบรรเทาไปได้เยอะ 

บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น หากเป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียว ความจริงการผลักไสอะไรสักอย่าง ก็เป็นการติดยึดอีกแบบหนึ่งนั่นเอง ทั้งๆที่ลิงพยายามถูกำจัดกลิ่นกะปิไปจากมือ ก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือมาดมหากลิ่นกะปิซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้ทั้งรู้ว่ากลิ่นกะปินั้นเหม็น แต่ก็ดมมือไม่ยอมเลิกง่ายๆ 

ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าเราจะโกรธอะไรหรือเกลียดใคร ก็มักดึงสิ่งนั้นหรือคนนั้นเข้ามาในจิตใจให้ครุ่นคิดเสมอ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางเสียที ทั้งๆทียิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ 

ปล่อยวางเสียเถิด แล้วใจเราจะเบาขึ้นเป็นกอง
ความทุกข์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ที่มันบีบคั้นกดทับจิตใจเราไม่หยุดไม่หย่อนเสียที ก็เป็นเพราะเราไปยึดไปแบกมันเข้าไว้ทั้งวันทั้งคืน ในหลายกรณี ความทุกข์ก็ไม่ได้มาจากไหน หากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อย ดังเช่นเจ้าลิงหวงถั่ว

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง

 
 
เรื่อง คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง  

เคยมีใครถามคุณไหมว่า “ความรักคืออะไร” ผมคิดว่าวันนี้ผมมีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ คำที่ใช้แทนคำว่า “ความรัก” ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า “ใส่ใจ” หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครสักคน ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเขามากน้อยแค่ไหน “ความใส่ใจ” ไม่ใช่ “ความเอาใจ” หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเขาหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมายเพื่อเอาใจ นั่นแหละถึงเรียกว่า “ความใส่ใจ” 


“ความใส่ใจ” ไม่ใช่ “ความหึงหวง” หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืน ถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เพียงเพราะเขาเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น นั่นแหละเรียกว่า “ใส่ใจ” 

“ความใส่ใจ” ไม่ใช่แค่ “ความมีน้ำใจอย่างเดียว” หากแต่มี “ความถนอมน้ำใจด้วย” หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณสักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเขาด้วย 

หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้นคนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ นั่นแหละเรียกว่า “ความใส่ใจ”
หากคนรักของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่งเอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ นั่นแหละเรียกว่า “ความใส่ใจ”

คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครสักคนคอยใส่ใจเราบ้าง หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า “ถึงหรือยัง” “ปลอดภัยดีไหม” “เหนื่อยไหม” หากคุณปฏิบัติภารกิจสำคัญ ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า “โชคดีนะ” “ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้” หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า “ขับรถดีๆนะ” หากคุณป่วยเป็นไข้ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยาและพักผ่อนให้มากๆ

“ความใส่ใจ” กับ “ความเกรงใจ” คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน 
แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน ความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน 

คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครสักคน เพียงแต่วันนี้คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2562

กว่าจะมาเป็นดาบ

 
 
เรื่อง กว่าจะมาเป็นดาบ 

ผมเคยได้ดูยูบีซีตอนหนึ่งที่คุณ สุเมธ ตันวิเวชกุล เล่าประสบการณ์ดีๆที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับสั่งให้กำลังใจ ซึ่งเป็นประโยคที่ดีมาก อยากเล่าต่อๆตั้งนานแล้ว จนเกือบลืมเลยครับ คงได้ประโยชน์กับบางคนที่เจอมรสุมกับงาน จะได้รู้สึกดี ผมจำมาถูกบ้างผิดบ้างเนื้อหาประมาณนี้ครับ 


องคมนตรีท่านบอกว่า ตอนนั้นผมกำลังทำงานอยู่ในสภาพจิตใจที่แย่มาก มันไม่มีกำลังใจจะทำอะไร ท้อแท้กับงานมาก ไม่มีใครเข้าใจ เหมือนทำดีแต่ไม่ได้ดี ในหลวงท่านทรงเสด็จมาพอดี และท่านได้เห็นสีหน้าผมไม่สู้จะดี ท่านได้สอบถามจนได้ความว่า ผมกำลังท้อแท้กับงาน ท่านจึงตั้งคำถามบวกรับสั่งว่า 

ท่านสุเมธ เคยขายเศษเหล็กไหม เศษเหล็กเหล่านั้น เวลาขายคุณค่ามันต่ำมากใช่ไหม คงได้เงินมาไม่กี่บาทใช่ไหม แล้วถ้าเราเอาเศษเหล็กเหล่านั้นมาหลอมรวมกันเป็นแท่ง เวลาหลอมนี่ เหล็กมันคงรู้สึกร้อนมากใช่ไหม พอหลอมเสร็จ เรานำมาทำเป็นดาบ คงต้องนำมาตีให้แบนอีกใช่ไหม เวลาตีก็ต้องคอยเอาไปเผาไฟด้วย ต้องตีไปเผาไปอยู่หลายรอบกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างดาบอย่างที่เราต้องการ ต้องผ่านความเจ็บปวดร้อนอยู่นาน แถมเมื่อเสร็จแล้วถ้าจะให้สวยงามดังใจ ก็ต้องนำไปแกะลวดลายอีกใช่ไหม เวลาที่แกะลวดลายก็คงต้องใช้ของแข็งมีคมมาตีให้เป็นลวดลายอีก แต่เมื่อเสร็จเป็นดาบที่งดงาม ก็จะมีคุณค่าที่สูงมาก เทียบกับเศษเหล็กคงจะต่างกันลิบลับ 

จะเห็นว่ากว่าที่เศษเหล็กไม่มีคุณค่ามากนัก จะกลายมาเป็นดาบอันงดงามนั้น ต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย ทั้งความเจ็บปวดต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จ

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ความรักคือการให้อภัย

 
 
เรื่อง ความรักคือการให้อภัย


“Love is to forgive, not to forget”
นี่คือคำพูดที่พระเอก Woody Harrelson พูดกับนางเอก Demi Moore ในหนังเรื่อง Indecent proposal ซึ่งเป็นคำพูดที่ประทับใจผมจนถึงทุกวันนี้ และผมจะนึกถึงทุกครั้งเวลาที่ผมมีปัญหาทะเลาะกับภรรยา มันทำให้ผมยอมง้อเธอก่อนเสมอ ไม่ว่าเธอจะถูกหรือผิด ผมคิดว่าในเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ควรจะยอมรับและยอมให้อภัยกันได้ในทุกๆเรื่อง 

ขออนุญาต Copy ข้อความของชายผู้หนึ่งมาให้คนที่ยังไม่ได้อ่าน ลองอ่านดูนะครับ
มันให้ความรู้สึกที่ดีมากสำหรับผม

ผมในฐานะผู้ชายเนี่ยเข้าใจเป็นอย่างดีเลยครับ เรื่องการถูกทำร้ายความไว้เนื้อเชื่อใจมันเจ็บปวดขนาดไหน ผมเคยประสบมากับตัวเองเลยเต็มๆ กับภรรยาคนปัจจุบันของผมเนี่ยแหละ หนักกว่าคุณนัก ผมก็เคยถามเธอนะครับว่าเธอเคยผ่านผู้ชายมาหรือเปล่า เป็นการถามเล่นๆไม่ได้ติดใจอะไรเพราะผมไม่ถือเรื่องนี้หรอก ผมโตที่เมืองนอกครับเลยถือเป็นธรรมดา ที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่าหญิงไทยยังคงเป็นแบบสมัยก่อนหรือสมัยใหม่ เธอก็ตอบตามตรงว่าเคย และถามว่าผมจะยังรักเธอไหม ผมก็หัวเราะและตอบว่า มันเกี่ยวกับรักด้วยเรอะ รักก็รักเหมือนเดิมสิ ไม่เห็นแปลกเลย ถามเล่นๆอย่าไปซีเรียสน่า

แล้วเราก็แต่งงานกัน ๒ ปีผ่านมา ผมก็ได้พบความจริงบางอย่างที่ทำให้ผมถึงกับต้องลาออกจากงานและไปบวชเลย เธอเคยทำแท้งครับ ผมเพิ่งทราบจริงๆ เธอไม่เคยบอกเลย ผมก็ไม่เคยติดใจสงสัยอะไร แม้เธอจะไม่ได้โกหกผมเหมือนอย่างที่แฟนคุณโกหก และเธอปิดบังผม ที่ผมรู้เพราะมีครั้งหนึ่งที่ผมดีใจนึกว่าเธอท้อง เลยพาไปตรวจครรภ์ หมอก็คุยเรื่อยเปื่อยว่าอ๋อยังไม่ท้องหรอก อย่างนั้นอย่างนี้ และมีประโยคหนึ่งที่ผมสะดุด คือหมอพูดว่า

"ดีแล้วครับที่สงสัยว่าจะท้องแล้วรีบพามาตรวจ เพราะมดลูกที่เคยผ่านการบำบัดพิเศษมาแล้ว หากท้องอีก อาจเป็นอันตรายเพราะเสี่ยงกับทั้งแม่และเด็กมากๆ ยังไงถ้าท้องก็รีบพามาตรวจนะครับ รับรองว่าหมอจะดูแลเป็นพิเศษเลย ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะหากแม่และเด็กได้รับการดูแลภายใต้แพทย์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีปัญหาครับ"
(หมอท่านนี้ไม่ทราบอะไรมาก่อนครับ เพราะเพิ่งมาตรวจกันครั้งแรกตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ หมออาจจะเดาเอาว่าผมรู้แล้ว)

ผมก็งงๆ ทีแรกนึกว่าเธออาจเคยประสบอุบัติเหตุกระเทือนต่อมดลูก หรืออาจเคยเป็นเนื้องอกแล้วผ่าตัดมา ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เลยถามภรรยาระหว่างขับรถกลับบ้านว่า "มดลูกเคยมีปัญหาใช่ไหม" ผมถามเพราะห่วงนะครับ ไม่ได้สงสัยอะไรเลย แต่เธอตกใจทันทีและร้องไห้ออกมา ขอโทษขอโพยที่ปิดบังมาตลอดและเล่าเรื่องทั้งหมด (เธอคงนึกว่าผมรู้แล้วและมาถามเอาเรื่อง) ผมก็อึ้งเลยครับ ๒ ปีที่ผ่านมานี่ผมเป็นควายหรืออย่างไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น

เธอบอกว่าสมัยเรียนเมืองนอก เธอเคยมีเพื่อชายชาวญี่ปุ่นและอยู่ด้วยกัน (ซึ่งอันนี้ผมรู้แล้วและไม่ถือครับ) ต่อมาก็ห่างๆกันไป เธอมารู้ตัวว่าท้องก็หลังจากเพื่อนชายคนนั้นกลับประเทศไปแล้ว เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงขอ Drop เรียน และย้ายเมืองเพื่อไม่ให้ใครรู้ และไปทำแท้งที่ต่างเมือง แล้วจึงกลับมาเรียนต่อ คนรอบข้างก็ไม่มีใครสงสัย เพราะเธอบอกว่าย้ายไปหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อประกอบ Thesis จะมีก็แต่ครอบครัวเท่านั้นที่รู้ เพราะแม่บินตามมาเฝ้าพยาบาลเธอด้วย

กลับมาถึงบ้านเธอก็ร้องไห้อ้อนวอนขอโทษ ถึงกับกอดแข้งกอดขากราบเท้าอย่าให้เราแยกกัน ผมในตอนนั้นหัวมันตื้อเพราะช็อกก็ไม่ได้ยินอะไรเลย จำได้แค่ว่าตัวลอยๆ เดินไปเก็บเสื้อผ้าและขับรถออกจากบ้านไป ผมไม่รู้จะไปไหน เลยติดต่อเพื่อนที่อยู่แถบอีสานขอพักด้วยสักระยะ เพื่อนก็ตกลงเพราะเห็นว่าผมคงมีทุกข์มา และก็ไม่ว่าไม่ถามอะไร ผมเลยจัดแจงลาออกจากงาน และไปอาศัยบ้านเพื่อนครับ สักพักผมก็ทนไม่ได้ครับ เลยไปบวชที่วัดแถวๆนั้น เพื่อนก็ถามว่าแล้วทางบ้านทางภรรยารู้หรือเปล่าว่าจะบวช ผมก็บอกว่ามีปัญหากันนิดหน่อย แต่ทางนั้นทราบแล้วว่าผมอยู่ที่นี่ (จริงๆผมไม่ได้บอกใครเลยครับ) 

เวลาผ่านไปผมก็เริ่มสงบลง เมียผมและครอบครัวผมคงทราบจากเพื่อนว่าผมมาบวชอยู่ที่นี่ ก็ตามมาโน้มน้าวให้กลับบ้าน แม่ก็มาขอร้อง แต่ตอนนั้นผมต้องการสงบครับ ผมก็ตอบว่าถึงเวลาจะกลับไปจัดการทุกอย่างเอง ขออย่าให้ทุกคนเป็นห่วง เมียผมเองก็เพียรอ้อนวอนจนอ่อนใจ และทำใจจึงกลับไป ผมบวชเรียนอยู่เกือบปี 

อยู่มาวันหนึ่งเจ้าอาวาสก็เรียกเข้าไปคุยว่า
"เมื่อยามมีทุกข์ก็ได้มาผ่อนทุกข์ของตนเองแล้ว บัดนี้เห็นว่าสงบลงและมีสติขึ้นมาก คุณจะเห็นควรกลับไปบรรเทาทุกข์ให้คนข้างหลังหรือไม่ อาตมาไม่ได้ขับไล่เพียงแต่แนะนำ สุดแล้วแต่การตัดสินใจเถิด" 
ผมเองก็มีสติขึ้นจากการบวชว่าผมหลบมาคนเดียวนี่ผมปลงทุกข์ของตนแล้ว แต่คนข้างหลังคงยังมีทุกข์ ผมเลยสึกครับ พอสึกแล้วก็พักอยู่บ้านเพื่อนอีก ๒-๓ วัน นั่งสมาธิทุกคืน เมื่อมีสติก็คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆได้ชัดเจนครับ ว่าเธอเป็นภรรยาที่ดีของผมมาตลอดไม่เคยบกพร่อง เป็นห่วงเป็นใยช่วยเหลือตั้งแต่สมัยเป็นแฟน เคยดีอย่างไรแต่งแล้วก็ยังดีเหมือนเดิมทุกประการ ผมเลยกลับบ้านครับ ก็หวั่นๆอยู่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง และจะพร้อมกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่

เมื่อถึงบ้านและพบเธอ เธอดูซูบไปมาก ใบหน้าหมองคล้ำ เธอไม่แสดงอาการอะไรนอกจากถามผมเหมือนทุกครั้งที่ผมกลับบ้านว่า เหนื่อยไหม หิวหรือยัง จะอาบน้ำก่อนหรือทานข้าวก่อน เธอเตรียมกับข้าวไว้แล้ว (ผมมารู้ทีหลังว่าตั้งแต่ผมจากไป เธอยังคงทำกับข้าวรอผมทุกวัน เพราะเผื่อวันใดผมกลับมา จะได้มีอาหารพร้อมไม่ต้องนั่งหิวรอ) ผมน้ำตาไหลเลยครับ พูดไม่ออก คว้าเธอมากอดและขอโทษ ครั้งนี้ผมลงกราบเท้าขอโทษเธอ เหมือนครั้งที่เธอเคยกราบอ้อนวอนผมมาก่อน เพราะผมรู้สึกว่าผมทำร้ายของล้ำค่าของผมได้อย่างไร ผมปล่อยให้เธอจมอยู่กับความทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว โดยผมหนีไปหาความสงบคนเดียวได้อย่างไร ผมเป็นสามีที่เห็นแก่ตัวมากๆ เธอไม่โกรธเลย เธอยิ้มรับผม เราต่างกอดกันร้องไห้ทั้งคืนโดยไม่พูดอะไรเลย มันสื่อกันด้วยความรู้สึกนะครับ ไม่มีคำต่อว่าจากปากเธอแม้แต่คำเดียว ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา 

ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วครับ เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ ๔ ปีแล้ว ตอนนี้เธอท้องแล้วครับ ผมอัลตร้าซาวด์แล้ว ผมกำลังจะมีลูกชายครับ ผมดีใจมากและทุกวันนี้ก็ภูมิใจมากที่มีศรีภรรยาคนนี้มาเป็นแม่ของเจ้าตังค์ (แอบตั้งชื่อไว้ก่อนน่ะครับ แบบว่าเห่อ) เราสองคนไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องนั้นอีกเลย มีเพียงแต่ว่าทุกสัปดาห์จะไปวัดด้วยกันและทำบุญตักบาตร แผ่เมตตาให้แก่ลูกคนแรกของเธอครับ 

ผมเล่ามานี่ก็เพื่ออยากให้คุณคิดได้และเข้าใจว่าหลังพายุเนี่ย ถ้าเราผ่านมันไปได้ หลังจากนั้นก็คือท้องฟ้าที่สงบและสดใสครับ ผมไม่สามารถรับรองได้หรอกว่าทุกท่านจะโชคดีเหมือนอย่างคู่ผม แต่ผมขออวยพรนะครับ ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งทุกคนต้องผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ และพบกับสิ่งดีงามครับ

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ช่างไม้

 
 
เรื่อง ช่างไม้

เรื่องก็มีอยู่ว่า มีช่างไม้สูงอายุคนหนึ่งต้องการจะเกษียณตัวเอง ก็เลยบอกความต้องการดังกล่าวกับนายจ้างเกี่ยวกับความต้องการที่จะเกษียณและใช้ชีวิตที่หรูหรากับภรรยา
ซึ่งช่างไม้ก็บอกว่าเขาอาจจะเสียดายค่าจ้างที่จะได้รับ แต่เขาก็ต้องการที่จะเกษียณ นายจ้างก็บ่นเสียดายที่จะต้องสูญเสียช่างฝีมือดีไป แต่ก็ได้ขอร้องให้ช่างคนนี้ช่วยสร้างบ้านให้อีกสัก ๑ หลัง ช่างไม้ผู้นั้นก็ตอบตกลง 

ครั้นพอบ้านสร้างเสร็จก็พบว่ามันไม่ใช่งานที่เป็นฝีมือของช่างคนนี้เลยแม้แต่น้อย งานที่ออกมาก็เป็นงานแค่เปลือกนอก (จอมปลอม) วัตถุดิบที่ใช้ก็ด้อยคุณภาพ มันช่างเป็นการจบชีวิตช่างฝีมือดีที่ไม่สวยหรูเลย และเมื่อนายจ้างสำรวจงานชิ้นนี้ของช่างผู้นี้ นายจ้างก็ได้ยื่นกุญแจให้แล้วบอกกับช่างไม้ว่า 
“นี่คือบ้านของคุณ ผมขอมอบให้คุณเป็นของขวัญ”

เมื่อช่างไม้ได้ยินเช่นนั้นถึงกับตกใจและอุทานกับตัวเองว่า 
“น่าละอายจริงๆ ถ้าฉันรู้สักนิดว่ากำลังสร้างบ้านของตัวเองอยู่ ฉันก็คงตั้งใจสร้างให้ดีกว่านี้”

เช่นเดียวกับพวกเราที่กำลังสร้างชีวิตของตัวเราเอง ด้วยการสั่งสมสิ่งต่างๆวันละเล็กวันละน้อย และบ่อยครั้งที่เราไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการสรรสร้างชีวิตของตัวเอง และเมื่อวันหนึ่งมาถึง เราก็ต้องตระหนักว่าเราต้องใช้ชีวิตอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งหมด และเมื่อถึงวันนั้น เรามักพูดเสมอว่า ถ้าเราสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะพวกเราทุกคนก็คือช่างไม้ ในทุกๆวันพวกเรากำลังตอกตะปู ปูกระดาน หรือแม้แต่กำลังเลือกกำแพงให้กับชีวิตตัวเอง 

ดังคำพูดที่ว่า “ชีวิตก็คือสิ่งที่เราสร้างด้วยตัวเอง” ทัศนคติและทางเลือกต่างๆที่พวกเราได้เลือกกันในวันนี้ ก็เสมือนกับการสร้าง “บ้าน” (ชีวิต) ให้กับตัวเอง และจะต้องอยู่กับมัน ดังนั้นจงสร้างบ้านด้วยความฉลาด 

ควรจำไว้ว่า:
จงทำงานเหมือนกับว่าเราไม่ต้องการเงิน (ทำเพราะรักงาน ทำด้วยใจ)
จงรักราวกับว่าเราไม่เคยเจ็บ (รักแบบไม่คาดหวังก็จะไม่ทุกข์กับความผิดหวัง) 
จงเต้นราวกับว่าไม่มีใครจ้องมองอยู่ (ใช้ชีวิตให้มีความสุขโดยไม่ต้องสนใจสายตาคนอื่นว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา)

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เมื่อคุณรักใครสักคน (When you love someone)

 
 
เรื่อง เมื่อคุณรักใครสักคน (When you love someone)  

How to tell if a guy likes a girl?
จะบอกได้อย่างไรว่าผู้ชายคนหนึ่งชอบผู้หญิงคนหนึ่งอยู่

1) The guy will try to make you laugh.
๑) ผู้ชายคนนั้นจะพยายามทำให้คุณหัวเราะสนุกสนาน

2) He’ll flirt with you when he can.
๒) เขาจะหยอกเอินกับคุณเมื่อตอนเขาสบโอกาส

3) He might try to show off around you.
๓) เขาอาจจะพยายามแสดงความโดดเด่นให้คุณเห็นอยู่ใกล้ๆ

4) He’ll help you out, if you ask for it.
๔) เขาจะออกตัวช่วยเหลือคุณ ถ้าคุณร้องขอ

5) He’ll stick up for you when you need it most.
๕) เขาจะพูดออกโรงปกป้องคุณ เมื่อตอนที่คุณต้องการมันมากที่สุด

6) He’ll be friendly to you and all you friends.
๖) เขาจะเป็นมิตรกับคุณและเพื่อนๆของคุณ

7) He might call you for no good reason.
๗) เขาอาจจะโทรมาหาคุณ ทั้งๆที่ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรเลย

8) He might make fun of you, in a joking way.
๘) เขาอาจจะล้อเลียนคุณ ด้วยท่าทางตลกๆ

9) He’ll tell you that you did well, even if you did horrible.
๙) เขาจะบอกว่าสิ่งที่คุณทำนั้นคุณทำได้ดีแล้ว แม้ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นมันแย่มาก

10) He’ll make eye contact with a happy grin on his face.
๑๐) เขาจะสบตาคุณด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มมีความสุข






How to tell if a girl likes a guy?
จะบอกได้อย่างไรว่าผู้หญิงคนหนึ่งชอบผู้ชายคนหนึ่งอยู่

1) The girl will laugh at all your jokes.
๑) เธอจะหัวเราะกับทุกๆมุกตลกของคุณ

2) She’ll stare at you with a smile on her face.
๒) เธอจะจ้องมองคุณด้วยรอยยิ้ม

3) She’ll ask you who you like, continuously.
๓) เธอจะถามคุณอยู่บ่อยๆว่าคุณชอบใครอยู่

4) She might try to make you jealous.
๔) เธออาจจะพยายามทำให้คุณหึงเธออยู่

5) She’ll beg that you do everything for her.
๕) เธอจะออดอ้อนขอให้คุณช่วยทำทุกอย่างให้เธอ

6) She might start talking to your friends.
๖) เธออาจจะเข้ามาหาเราด้วยการเริ่มคุยกับเพื่อนคุณก่อน

7) She’ll talk to you about the different varieties of guys.
๗) เธอจะคุยกับคุณเกี่ยวกับผู้ชายลักษณะต่างๆ

8) She’ll always seem to be talking about how nice you are.
๘) เธอดูเหมือนจะพูดเกี่ยวกับตัวคุณว่าคุณดีอย่างไรอยู่เสมอๆ

9) She’ll always be flirting with every other guy except you.
๙) เธอมักจะทำตัวเล่นๆกับคนอื่นๆ ยกเว้นคุณคนเดียว

10) She’ll always ask what to do in a bad situation. 
๑๐) เธอมักจะปรึกษาคุณเสมอว่าต้องทำอย่างไรดีเมื่อเธอเจอสถานการณ์ที่เลวร้าย

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

กล้าที่จะเสี่ยง (Dare to take risks)

 
 
เรื่อง กล้าที่จะเสี่ยง (Dare to take risks)

To laugh is to risk appearing a fool.
การหัวเราะคือการเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นคนโง่

To weep is to risk appearing sentimental.
การร้องไห้คือการเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นคนที่อ่อนไหว

To expose feeling is to risk rejection.
การเปิดเผยความรู้สึกคือการเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธ

To place your dreams before the crowd is to risk ridicule.
การวางความฝันไว้ต่อหน้าฝูงชนคือการเสี่ยงที่จะถูกหัวเราะเยาะ

To love is to risk not being loved in return.
การรักคือการเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความรักตอบแทน

To go forward in the face of overwhelming odds is to risk failure.
การก้าวเดินไปหนทางข้างหน้าที่เต็มไปด้วยโอกาสที่จะเป็นไปได้คือการเสี่ยงต่อความผิดพลาดล้มเหลว

But risks must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing.
แต่ก็ควรที่จะต้องรับเอาความเสี่ยงเหล่านี้ไว้ เพราะว่าอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตคือการที่ไม่ยอมเสี่ยงสิ่งใดเลย

The person who risks nothing, does nothing, has nothing, is nothing.
บุคคลที่ไม่เสี่ยงสิ่งใดเลย จะไม่ได้ทำสิ่งใดเลย จะไม่มีสิ่งใดเลย  และจะไม่ได้เป็นอะไรเลย

He may avoid suffering and sorrow, but he cannot learn, feel, change, grow or love.
เขาอาจจะหลีกหนีจากความทุกข์ยากและความเศร้าโศกได้ หากแต่ว่าเขาจะไม่ได้เรียนรู้  ไม่ได้รู้สึก ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไม่ได้เติบโต หรือไม่ได้รักเลย

Chained by his certitudes, he is a slave.
เขาได้ถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยความแน่นอนของเขา เขาได้กลายเป็นทาส

Only a person who takes risks is free.
มีเพียงแต่บุคคลที่กล้ารับเอาความเสี่ยงเท่านั้น ที่จะเป็นอิสระ

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ความสูญเสีย

 
 
เรื่อง ความสูญเสีย

เมื่อประมาณ ๘ ปีที่แล้ว เราได้รู้จักผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง และในการพบกันครั้งแรกบอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้แหละใช่เลย คนที่ฉันอยากจะฝากผีฝากไข้ คนที่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่ใช่ผู้หญิงสวยอย่างที่ผู้หญิงหลายๆคนเป็น แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเป็นและยึดถือมาตลอด ฉันรักผู้ชายทีละคน และทุ่มเทความรู้สึกให้กับเขาอย่างเต็มที่ เพราะฉันเชื่อว่าความรักสวยงามด้วยตัวของมันเอง ไม่มีใครอยากเป็นตัวเลือกของใคร 

นับจากวันที่เราได้รู้จักกันมานั้น เรารดน้ำพรวนดินและเอาใจใส่ในความรักของเราตลอด เราไม่เคยอายที่จะบอกว่าฉันรักเธอ แล้วเธอล่ะรักฉันไหม ทุกครั้งคำตอบที่ฉันได้รับคือเขารักฉันมิเสื่อมคลาย และเราสองคนก็เฝ้าทะนุถนอมในความรักเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงนับครั้งได้ว่าเราเคยทะเลาะกันบ้างหรือเปล่า ใช่เราเคยทะเลาะกันบ้างหรือเปล่าล่ะ เปล่าเลยเขามักจะสอนฉันเสมอว่าชีวิตคนเราสั้นนัก วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อวันนี้เรารักกัน ทำไมเราต้องมองแต่สิ่งที่ไม่ดีของกันล่ะ สิ่งดีๆที่เคยเกิดขึ้นหายไปไหน สร้างกันมาเป็นแรมปี จะหายไปในพริบตาเลยหรือ เขาให้เรามองแต่ข้อดีของกันและกันเสมอ เขามารับเราทุกครั้งหลังเลิกงาน เขามาช่วยเดินสายไฟที่บ้านให้ยามไฟดับ เราหิวเขาซื้อแต่สิ่งที่เราชอบมาให้ทาน เราเหงาเขาคุยโทรศัพท์กับเราตั้งแต่ค่ำยันดึก เราร้องไห้เขาหากระดาษมาซับน้ำตาให้ทุกครั้ง ฯลฯ 

และนั่นแหละคือเหตุผลของการที่ทำให้เรารักกันมาถึงกว่า ๘ ปี
บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นหน้าเทศกาลหรือไม่ เขามักมีกลอนมาให้อ่านเสมอ แม้ว่ากลอนของเขาจะไม่ได้ถูกฉันทลักษณ์ซะทีเดียว แต่ฉันก็รู้ว่าเขาพยายามที่จะถ่ายทอดความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ ซึ่งมันคงยากนะสำหรับคนที่เป็นวิศวกรเนี่ย บทกลอนของเขาฉันมักท่องให้เขาฟังด้วย เพื่อที่เขาจะได้รับรู้ว่าฉันอ่านมันแล้วนะ อ่านบ่อยจนท่องจำได้เลยเห็นไหมล่ะ 

เราสานสัมพันธ์ที่ดีกันมาตลอด การสร้างสัมพันธ์อันดีนี้ ฉันรวมไปถึงการเข้ากันได้กับครอบครัวของเขาด้วยนะ เพราะรักเขาก็ต้องรักครอบครัวเขาด้วยสิ อย่าลืมว่าเขาไม่ใช่คนรักของคุณคนเดียวหรอก ตลอดระยะเวลาแห่งการเดินทางแห่งความรักของฉันนี้ มันราบรื่นมาโดยตลอด เราไม่เคยมีความลับต่อกันเลยสักเรื่องเดียว เราไม่เคยโกหกกัน เราให้ความรู้สึกต่อกันในแบบพี่น้องแบบเพื่อนแบบคนรักที่เราอยากร่วมชีวิตด้วย เรื่องราวของเราน่าจะลงเอยด้วยดีใช่ไหม ใช่มันน่าที่จะลงเอยด้วยดี 

แต่เปล่าเลย จุดจบแห่งความรักของเรา คือการพลัดพรากจากลาอย่างไม่มีวันกลับของเขา เขาจากเราไปแล้วด้วยอุบัติเหตุเมื่อเร็วๆนี้เอง มันช่างเป็นสิ่งโหดร้ายที่สุดที่ฉันพบเจอในช่วงก่อนปีใหม่นี้ เขาจากฉันไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับมา แต่ฉันไม่เคยเสียใจนะ เพราะตลอดเวลาเราคุยกันเสมอว่า ถ้าการตายเกิดขึ้นไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว อีกลมหายใจที่เหลืออยู่ต้องอยู่ให้ได้ และฉันต้องอยู่ให้ได้ คนเราต่างก็เกิดมาต่างวาระกัน การตายก็ต่างวาระเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉันภูมิใจที่สุดคือ ตลอดเวลาเราได้ปรนนิบัติกันอย่างดีที่สุด ได้ให้ความรู้สึกดีๆตลอดมา และฉันก็ขอบคุณเขา ที่เขารักฉันเป็นคนสุดท้าย ตราบเท่าที่ลมหายใจเขาไม่มีอีกแล้ว

เรื่องราวที่ฉันได้บอกกล่าวนี้เพื่อที่จะบอกว่า สายน้ำไม่เคยไหลกลับ วันเวลาไม่สามารถย้อนมาได้ วันนี้คุณได้ทำสิ่งดีๆกับคนที่คุณรักแล้วหรือยัง คนเรามักนึกถึงคุณค่าของทุกสิ่งเมื่อสายไปเสมอ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยนะ มันไม่สามารถทำให้นาฬิกาเดินถอยหลังได้หรอก

เหนื่อยไหมจ๊ะคนดี                    อุปสรรคมากมีอย่าหวั่นไหว 
หนทางข้างหน้ายังอีกไกล           พี่จะเป็นกำลังใจให้คนดี
ด้วยรักที่พี่มีให้                        ด้วยใจที่พี่ใฝ่ถึง 
ด้วยรักของพี่ตราตรึง                ด้วยใจพี่ที่คิดถึงตลอดไป

บทกลอนบทสุดท้ายที่เขาเขียนให้เราล่วงหน้าไม่กี่วัน ก่อนเขาจะจากไปค่ะ 
ขออุทิศเรื่องราวตรงนี้ให้พี่ชัยวุฒิ ขำหาญ ผู้ซึ่งเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของฉันตลอดไป 

Waleerat Sangwan : เขียนบทความขึ้นต้นแบบเรื่อยๆ แต่ถ้าคุณอ่านต่อ ผู้หญิงคนนี้อาจจะพบเรื่องราวที่น่าสงสารสำหรับคนบางคน แต่เธอก็เป็นคนที่โชคดีในอีกมุมมองหนึ่ง จะมีสักกี่คนที่พลัดพรากจากคนรักได้ โดยไม่มีความเสียใจ ถ้าวันนี้เรามอบสิ่งดีๆให้คนที่เรารัก ได้เท่ากับความรักที่เรามีให้เขา วันข้างหน้าเราจะไม่มีวันเสียใจเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น หลายๆคนยังเป็นคนโชคดี ตราบใดที่คุณยังมีเวลาและโอกาสที่จะทำในสิ่งที่คุณอยากทำ ด้วยการมอบความรักให้คนที่คุณรัก อย่างที่คุณอยากจะทำ 

อย่าปล่อยให้ความเคยชิน เข้ามากัดกร่อนความรู้สึกดีๆ ที่เราเคยมีให้แก่กัน

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562

นิทานนกกระจอก

 
 
เรื่อง นิทานนกกระจอก

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีนกกระจอกตัวหนึ่งเป็นนกกระจอกเจ้าสำราญ เที่ยวกินเที่ยวเล่นไปวันๆอย่างสนุกสนาน เมื่อเวลาฤดูหนาวใกล้เข้ามา นกกระจอกตัวอื่นๆก็พากันเตรียมตัวออกบินลงใต้เพื่อหลบหนาว แต่พระเอกของเราก็ยังทำทองไม่รู้ร้อน มันว่าเอาไว้ให้จวนตัวจริงๆค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย เพื่อนๆพากันเกาะกลุ่มบินไปเป็นกลุ่ม จนในที่สุดเหลือมันตัวเดียว และประจวบกับอากาศที่หนาวเย็นลงทุกวันมันจึงสำนึก

เช้าวันหนึ่งที่อากาศหนาวเหน็บ นกกระจอกเจ้าสำราญก็ออกบินเดี่ยวเดินทางลงใต้
ขณะมาได้ไม่ไกลฝนก็เทลงมาทำให้ขนของมันเปียกปอนไปหมด และเพราะอากาศที่เย็นยะเยือกก็ทำให้น้ำที่เกาะปีกของมันกลายเป็นน้ำแข็งหนัก มันบินต่อไปไม่ไหว ทั้งหนาวจนเกือบแข็งตายและหมดแรงจึงตกแอ๊กลงมานอนหอบรอความตายอยู่บนพื้นดิน เผอิญตรงนั้นจำเพาะเป็นลานบ้านชาวนามีวัวตัวหนึ่งเดินผ่านมา และขี้ออกมากองเบ้อเริ่มหล่นเผละลงมาทับเจ้านกกระจอกพอดีจนมิดหัวมิดหู เจ้านกกระจอกจึงนึกในใจว่า
“ซวยจริงตู ตายไม่มีศักดิ์ศรีเลย จมกองขี้วัวตาย”

มันปลงได้แล้วว่าคงตายแน่ แต่แล้วกองขี้วัวนั่นแหละที่ช่วยชีวิตมัน เพราะความอุ่นทำให้น้ำแข็งละลาย และทำให้นกกระจอกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มันดีใจมากที่รอดชีวิตจนร้องเพลงออกมาดังๆ เจ้ากรรมมีแมวตัวหนึ่งเดินผ่านมา มันได้ยินเสียงนกร้องจึงเงี่ยหูฟังและเดินย่องตามหา จนมาพบว่าเสียงออกมาจากกองขี้วัวนี่เอง แมวจัดแจงเขี่ยขี้วัวออกด้วยความสงสัย จนไปเจอะเจ้านกกระจอกที่กำลังแหกปากร้องเพลงเพลินอยู่ จึงจับกินเป็นอาหารอันโอชะเสียในทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
๑. คนที่ขี้รดหัวเรา ไม่แน่ว่าจะเป็นศัตรูเสมอไป
๒. คนที่ช่วยโกยขี้ให้พ้นหัวเรา ไม่แน่ว่าจะเป็นมิตรไปเสียทุกคน

เครดิต: Forward Mail

 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้