จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2563

มันฝรั่ง

 
 
เรื่อง มันฝรั่ง 

คุณครูในโรงเรียนสอนเด็กอนุบาลแห่งหนึ่ง ตัดสินใจที่จะให้เด็กนักเรียนในชั้นของเธอเล่นเกมได้ ดังนั้นเธอจึงบอกให้เด็กนักเรียนแต่ละคนในชั้น นำมันฝรั่งใส่ถุงพลาสติกมาจำนวนหนึ่ง บนมันฝรั่งแต่ละหัวให้เขียนชื่อคนที่รังเกียจไว้ ดังนั้นจำนวนหัวมันฝรั่งที่เด็กนักเรียนใส่ไว้ในถุงของเขา จะขึ้นกับจำนวนคนที่เขารังเกียจไม่ชอบ

และเมื่อถึงวันกำหนด เด็กๆทุกคนก็นำฝรั่งที่มีชื่อคนที่เขารังเกียจติดตัวมา บางคนมีมัน ๒ หัว บางคนมีมัน ๓ หัว ในขณะที่บางคนมีถึง ๕ หัว จากนั้นคุณครูได้สั่งให้เด็กนักเรียนนำมันฝรั่งของตนเองใส่ถุงถือติดตัวไปทุกๆแห่ง (แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ) เป็นระยะเวลา ๑ อาทิตย์

หลังจากที่หลายๆวันผ่านไป พวกเด็กนักเรียนก็เริ่มบ่นถึงกลิ่นที่ไม่สู้จะดีที่ออกมาจากมันฝรั่งซึ่งเริ่มจะเน่า นอกจากนั้นเด็กที่มีมันฝรั่ง ๕ หัว ก็ยิ่งบ่นที่ต้องถือถุงหนักกว่าคนอื่น เมื่อเวลา ๑ อาทิตย์สิ้นสุดลง พวกเด็กนักเรียนจึงได้รู้สึกปลดปล่อย เพราะเกมได้จบลงแล้ว

คุณครูถามว่า “พวกเธอรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องถือมันฝรั่งติดตัวอยู่ ๑ อาทิตย์” 
พวกเด็กนักเรียนจึงระบายความหงุดหงิดไม่พอใจออกมา และบ่นถึงความลำบากที่พวกเขาต้องเจอจากการที่ต้องถือถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและส่งกลิ่นเหม็นเน่า หลังจากนั้นคุณครูจึงได้อธิบายให้พวกเด็กได้ทราบ ถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเกม 

คุณครูกล่าวว่า “นี่เป็นเหมือนกับสถานการณ์จริงๆ เมื่อเราต้องแบกเก็บความเกลียดชังผู้อื่นไว้ในใจ มลพิษของความเกลียดชังจะกัดกร่อนใจของเรา และติดไปกับตัวเราในทุกๆที่ที่เราไป ถ้าขนาดเรายังทนไม่ได้กับกลิ่นเน่าเหม็นของมันฝรั่งในช่วง ๑ อาทิตย์ ลองคิดดูว่ามันจะเป็นเช่นไร ถ้าเราแบกเก็บความเกลียดชังไว้ในใจตลอดชั่วชีวิต”

คติสอนใจจากนิทานเรื่องนี้คือ 
โยนทิ้งความเกลียดชังผู้อื่นออกไปจากใจคุณ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่ต้องแบกรับบาปนี้ไปชั่วชีวิต ให้อภัยผู้อื่นถือเป็นทัศนะคติที่ดีที่สุดที่ควรยึดถือไว้ รักชื่นชมผู้อื่นแม้ว่าคุณจะไม่ชอบพวกเขา
ความรักที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่การรักชอบบุคคลที่สมบูรณ์แบบซะยิ่งกว่าสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการรักชอบชื่นชมบุคคลที่ไม่สมบูรณ์แบบ ให้สมบูรณ์มากๆ

เครดิต: Forward Mail


 
 


วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

เสียงแห่งความรัก

 
 
เรื่อง เสียงแห่งความรัก

หลายครั้งที่เราเขินอายไม่กล้าแสดงออกซึ่งรักที่เรามี เพราะกลัวจะทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นกระดากกระเดื่อง เราลังเลที่จะพูดไปตรงๆว่า “ฉันรักเธอ” เราจึงพยายามสื่อความรู้สึกนี้ออกไปด้วยคำอื่น เช่น “รักษาตัวดีๆนะ” หรือ “อย่าขับรถเร็วนัก” หรือ “โชคดีนะ” 
แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่วิธีต่างๆในการพูดว่า “ฉันรักเธอ” “เธอสำคัญต่อฉัน” “ฉันสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ” “ฉันไม่อยากให้เธอบาดเจ็บ” 

คนเรานี้บางครั้งก็ประหลาด สิ่งเดียวที่เราอยากจะพูดและเป็นสิ่งที่ควรพูด เรากลับไม่พูดออกไป กระนั้นการที่เรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆและอยากจะพูดออกไปมาก เป็นผลให้เราใช้คำหรือสัญญาณอื่น ที่บอกว่าจริงๆแล้วเราหมายถึงอะไร แต่หลายครั้งที่ความหมายเหล่านั้นสื่อไปไม่ถึง ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ต้องการ 
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องฟังเสียงของความรักในคำที่ผู้อื่นพูดกับเรา บางครั้งคำพูดที่ชัดแจ้งก็จำเป็น แต่บ่อยครั้งที่อากัปกิริยาในการพูดนั้น สำคัญยิ่งกว่าคำพูดเหน็บแนมที่ใส่ความรักและชื่นชอบไว้ในความรู้สึก ซึ่งแสดงออกมาอย่างไม่จริงใจ 

การกอดเร็วๆเป็นการบอกว่าฉันรักเธอ แม้ว่าคำที่พูดออกมาอาจเป็นอย่างอื่น การแสดงออกถึงความห่วงกังวลที่คนหนึ่งมีต่ออีกคนหนึ่ง เป็นการบอกว่าฉันรักเธอ แต่บางครั้งก็แสดงออกมาอย่างเงอะงะหรือแม้แต่ดุร้าย บางครั้งเราก็ต้องตั้งใจมองและฟังมากๆ เพื่อรับรู้ความรักที่อยู่ภายใน มันมักจะอยู่ใต้ผิวที่คลุมอยู่ 

แม่อาจจะบ่นว่าลูกชายบ่อยๆเรื่องผลการเรียนหรือการทำความสะอาดห้อง ลูกชายอาจได้ยินแค่เสียงบ่น แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ เขาจะได้ยินความรักซึ่งอยู่ใต้เสียงจุกจิกจู้จี้นั้น แม่ต้องการให้ลูกทำดีและประสบความสำเร็จ แต่น่าเสียดายที่ความห่วงใยและความรักลูกชายออกมาในรูปของการบ่นว่า แต่อย่างไรมันก็คือความรัก

ลูกสาวกลับบ้านช้ากว่าที่อนุญาต และพ่อมาดุแรงๆด้วยความโกรธ ลูกสาวอาจได้ยินแค่ความโกรธ แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆจะได้ยินความรักที่อยู่ใต้ความโกรธนั้น พ่อกำลังพูดว่า “พ่อเป็นห่วงลูก เพราะพ่อใส่ใจลูก รักลูก ลูกสำคัญต่อพ่อ” 

เราบอกรักด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญวันเกิด กระดาษโน้ตใบเล็กๆ รอยยิ้ม และบางครั้งก็น้ำตา บางครั้งเราแสดงออกซึ่งความรักด้วยการนิ่งเงียบและไม่พูดอะไรเลย แต่บางครั้งก็พูดออกมาถึงขนาดห้วนๆก็มี บางครั้งเราแสดงความรักโดยไม่ได้ยั้งคิด หลายครั้งเราต้องแสดงความรัก ด้วยการยกโทษให้คนที่ไม่ได้ยินความรักที่เราพยายามส่งไป 

ปัญหาในการฟังเสียงของความรักคือ เราไม่ค่อยเข้าใจภาษาแห่งรักที่ผู้อื่นใช้
เด็กสาวอาจใช้น้ำตาหรือแสดงอารมณ์เพื่อบอกว่าเธออยากจะพูดอะไร แต่แฟนของเธออาจไม่เข้าใจ เพราะเขาคาดหวังให้เธอพูดภาษาเดียวกับเขา ดังนั้นเราจึงต้องบังคับตัวเองให้ตั้งใจฟังเสียงแห่งรัก ปัญหาใหญ่คือคนเราไม่ค่อยฟังกัน เราได้ยินคำพูด แต่เราไม่ฟังความหมายจริงๆของคำนั้น หรือไม่ดูการแสดงออกทางสีหน้า หรือบางครั้งเราก็ฟังเพื่อจะปฏิเสธและเข้าใจผิด เราไม่เห็นความรักที่อยู่ลึกลงไป แม้ว่าคำพูดที่ออกมาจะแสดงความโกรธก็เถอะ เราต้องฟังเสียงของความรักจากผู้คนรอบข้างบ้าง ถ้าฟังดีๆจะพบว่า เรามีคนรักมากกว่าที่คิด ฟังเสียงของความรักเถิด แล้วเราจะพบว่าโลกนี้น่าอยู่ยิ่งนัก 

ความรักคือสิ่งที่ให้ความสุข ทำให้เราหัวเราะ ทำให้เราร้องเพลง ทำให้เราเสียใจ ทำให้เราร้องไห้ ทำให้เราหาเหตุผล ทำให้เราเป็นผู้รับ ทำให้เราเป็นผู้ให้ นอกเหนือจากอะไรทั้งหมด ความรักทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ 

คนอื่นจะอยู่หรือไม่อยู่กับเราไม่ได้แตกต่างอะไรนัก เพราะเราไม่เห็นต้องรู้สึกว้าเหว่แม้จะอยู่คนเดียว บางครั้งมันก็ดีที่ได้อยู่คนเดียว แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราโดดเดี่ยว การอยู่กับใครสักคนไม่ใช่เรื่องสำคัญ การให้คนอื่นรู้ว่ามีเราอยู่ต่างหากที่สำคัญ ดังนั้นจำไว้ว่าถ้าคุณรักใคร ก็บอกเขาไปเถิด พูดอย่างที่คุณต้องการ อย่ากลัวที่จะแสดงตัว ใช้โอกาสนี้บอกเขาว่าเขามีความหมายต่อคุณเพียงใด อย่าปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไป จะได้ไม่ต้องมาเสียใจ 

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การที่ได้อยู่ใกล้ๆเพื่อนและครอบครัวของคุณ เพราะพวกเขาช่วยให้คุณเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ความแตกต่างระหว่างการแสดงความรักและการมานั่งเสียใจคือ ความเสียใจอาจจะคงอยู่ไปตลอด ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงแสดงความรัก และถ้าคุณอยากมีความสุข ก็จงแสดงความรัก

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

ของขวัญจากเวลา

 
 
เรื่อง ของขวัญจากเวลา

ลองจินตนาการว่ามีธนาคารแห่งหนึ่งเข้าบัญชีให้คุณทุกเช้า เป็นเงิน ๘๖,๔๐๐ บาท ไม่มีการยกยอดคงเหลือไปวันรุ่งขึ้น ทุกตอนเย็นจะลบยอดคงเหลือทั้งหมดที่คุณไม่ได้ใช้ระหว่างวัน คุณจะทำอย่างไร แน่นอนที่สุดคุณต้องถอนมาใช้ทุกบาททุกสตางค์ใช่ไหม
เราทุกคนมีธนาคารอย่างนั้นเหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า “เวลา”
มันเข้าบัญชีให้คุณ ๘๖,๔๐๐ วินาที ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชี ถือว่าขาดทุนตามจำนวนที่คุณพลาดโอกาสที่จะลงทุนในสิ่งดีๆ มันไม่สะสมยอดคงเหลือ ไม่ให้เบิกเกินบัญชี ในแต่ละวันจะเปิดบัญชีใหม่ให้คุณ ทุกค่ำคืนจะลบยอดคงเหลือของทั้งวันออกหมด ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้ประโยชน์ในระหว่างวัน ผลขาดทุนเป็นของคุณ ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้ ไม่มีการถอนของ “วันพรุ่งนี้” มาใช้ได้ คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ด้วยยอดเงินฝากของวันนี้ ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้ เพื่อได้ผลตอบแทนมาสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ นาฬิกากำลังเดิน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งปี ให้ไปถามนักเรียนที่สอบตกต้องซ้ำชั้น 
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งเดือน ให้ไปถามคุณแม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนด
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งสัปดาห์ ให้ไปถามนักเขียนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งชั่วโมง ให้ไปถามคนรักที่กำลังรอคอยตามนัดหมาย
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งนาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งพลาดขบวนรถไฟ
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งวินาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งรอดชีวิตหวุดหวิดจากอุบัติเหตุ
คุณจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา เสี้ยววินาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งวิ่งชนะได้รางวัลเหรียญทองโอลิมปิก

ทำทุกขณะที่คุณมีให้มีคุณค่า และทำให้มีคุณค่ามากขึ้นไปอีกเพราะว่าคุณได้ใช้มันร่วมกับคนพิเศษบางคน ให้พิเศษเพียงพอที่จะใช้เวลาของคุณและจำไว้เสมอว่าเวลาไม่คอยใครแม้สักคนเดียว

เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้ยังยากที่จะอธิบาย วันนี้เป็นของขวัญ นั่นไงทำไมมันถึงถูกเรียกว่า “Present” (Present แปลได้ว่า ปัจจุบัน หรือ ของขวัญ ก็ได้) 
แสดงให้เพื่อนเห็นว่าคุณแคร์เขามากแค่ไหน ด้วยการส่งข้อความนี้ไปให้ทุกคนที่คุณพิจารณาแล้วว่าเขาคือ “เพื่อน”
 

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563

ความรักในอีกมุมมองหนึ่ง

 
 
เรื่อง ความรักในอีกมุมมองหนึ่ง

ลองอ่านดูสำหรับคนที่ยังไม่มีความรัก เอามาให้อ่านกันกับความรักในอีกแง่มุมหนึ่ง ยาวหน่อยแต่ดีเพื่อนข้าพเจ้ามีหลายคนที่เรียนด็อกเตอร์ ถึงปัจจุบันนี้อายุเกิน ๔๐ ปี ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ใช่ว่าเพื่อนด็อกเตอร์ข้าพเจ้าหน้าตาไม่ดี ขี้เหล่ หรือหยาบคาย แต่ละคนรูปร่างสูงสง่า หน้าตาใช้ได้ และเงินเดือนค่อนข้างดี แต่เหตุที่ไม่ได้แต่งงานเป็นเพราะอะไร เรื่องที่จะเล่าต่อไปคงบอกเหตุผลได้


ก่อนอื่นอยากพูดถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับคู่ครองของด็อกเตอร์ที่ข้าพเจ้ารู้จัก ว่าชอบวาง “กรอบคุณสมบัติ” ของผู้หญิงในอุดมคติไว้เสียเลิศเลอจนเกินไป เช่น ต้องสวย รวย เก่ง นิสัยดี หรือเป็นหมอ อะไรทำนองนี้ แค่คุณสมบัติใดคุณสมบัติหนึ่งที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ก็ไม่ใช่หาง่ายๆในชีวิตธรรมดาเช่นเราๆ

ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า “ชีวิตคู่เป็นเรื่องของวาสนา ไม่ควรไปดิ้นรนค้นหาจนเดือดร้อนตนเองและผู้อื่น”

มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนจบด็อกเตอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง รายได้สูงมากๆ ใครๆก็ชมว่าเป็นอัจฉริยะ เพราะทำงานทุกอย่างสำเร็จรวดเร็ว เขามีอายุราว ๔๕ ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว สวมใส่แว่นตาตลอดเวลา ลักษณะท่าทางเป็นคนมีความรู้ 

วันหนึ่งข้าพเจ้าได้จัดงานเลี้ยงแนะนำทำความรู้จักระหว่างด็อกเตอร์คนนี้ กับผู้หญิงสาวหน้าตาดีเพื่อนของภรรยาที่ภัตตาคารมีชื่อแห่งหนึ่ง ที่ไหนได้นัด ๑ ทุ่ม เวลาร่วงเลยจนถึง ๒ ทุ่มครึ่ง ฝ่ายชายถึงจะมา เมื่อนั่งลงสนทนา กลับไม่กล่าวคำขอโทษที่มาช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อฝ่ายหญิง ปากพร่ำพูดแต่ว่า งานออฟฟิศยุ่งยังไง คอมพิวเตอร์มีปัญหาอะไร ทั้งยังไม่ทักทาย ไม่ถามชื่อฝ่ายหญิง รวมทั้งสภาพของผมบนศีรษะก็ไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าสกปรกและยับยู่ยี่

ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจคิดว่า “เอ๊ะ เราแนะนำเพื่อนหญิงให้ ทำไมจึงไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย ผมเผ้าไม่หวี การแนะนำครั้งนี้กระทำอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ทำเล่นๆ” ฝ่ายหญิงรู้สึกว่าฝ่ายชายไม่ให้เกียรติ แต่ข่มใจไม่พูดอะไรออกมา 

ข้าพเจ้าอยากจะให้ด็อกเตอร์คุยกับฝ่ายหญิงบ้าง จึงพยายามพูดจาเปิดทางให้อยู่หลายครั้ง แต่เวลาด็อกเตอร์พูด เขาจะพูดเฉพาะเรื่องงานของตัวเอง พูดเล่าอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่สนใจเรื่องอื่น และไม่นำพาต่อสีหน้าท่าทางของผู้ฟัง เขาคงคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก แท้จริงเป็นสิ่งที่หน้าเบื่อในความรู้สึกของคนอื่น ข้าพเจ้าพยายามพูดเตือนด็อกเตอร์เป็นนัยอยู่บ่อยๆ แต่ดูเหมือนด็อกเตอร์นั้นจะไม่เข้าใจในเจตนา เขายังคงพูดจาคนเดียวต่อไปอย่างเมามัน สร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับทุกคนตลอดช่วงเวลาของอาหารค่ำ

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้ด็อกเตอร์ไปส่งฝ่ายหญิงกลับบ้าน ในใจคิดว่าได้ทำหน้าที่แม่สื่อดีที่สุดแล้ว

เวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วยาม ญาติทางฝ่ายหญิงได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า และเล่าว่า “ด็อกเตอร์คนนี้แย่มาก หลังจากเดินทางออกจากภัตตาคารเพื่อส่งน้องสาวดิฉัน แทนที่จะขับตรงมาส่งที่บ้าน กลับแวะไปออฟฟิศของเขาก่อน บอกว่าจะขึ้นไปเพียงครู่เดียว แต่หายไปนานมาก น้องสาวของดิฉันเห็นว่าครึ่งชั่วโมงแล้วเขายังไม่มา รู้สึกอดรนทนไม่ได้ จึงเปิดประตูรถเดินออกมาเพื่อเรียกแท็กซี่ โชคไม่ดีแถวนั้นมีหมาดุอยู่ตัวหนึ่ง พอหมาเห่า น้องสาวดิฉันตกใจวิ่งหนี เลยถูกหมากัด เมื่อขึ้นรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล หมอต้องทำแผลอยู่นาน และฉีดยาป้องกันบาททะยักให้ด้วย น่าเจ็บใจจริงๆ เธอขอให้ช่วยโทรมาบอกว่า ต่อไปผู้ชายคนนี้ ไม่ต้องพามาให้เห็นหน้า”

เพื่อนด็อกเตอร์อีกคนหนึ่ง เป็นสถาปนิกออกแบบ เรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับคนแรก สถาปนิกท่านนี้มีออฟฟิศเป็นของตัวเอง ลักษณะหน้าตาของด็อกเตอร์คนนี้จัดว่าดี ท่าทางเรียบร้อยเป็นสุภาพบุรุษมาก เขามาชอบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของข้าพเจ้า ฝ่ายหญิงก็มีใจชอบเขาอยู่ ทั้งสองจึงคบหากัน แรกๆเวลาไปไหนจะไปเป็นกลุ่ม เมื่อคุ้นเคยกันพอสมควร ทั้งสองจึงนัดรับประทานอาหารกันเอง ที่ภัตตาคารอาหารทะเลแห่งหนึ่ง อาหารทะเลที่สั่งมารับประทานมีหลากหลาย อาหารมีชื่ออย่างหนึ่งของภัตตาคารแห่งนั้นคือ กุ้งก้ามกรามเผา ซึ่งคนทั้งสองสั่งมาหนึ่งกิโล จานที่สั่งมีกุ้งอยู่ถึง ๒๐ ตัว

“คุณชอบกินกุ้งใช่ไหม” ด็อกเตอร์สถาปนิกหนุ่มถาม
“ชอบมากค่ะ กุ้งที่นี่ตัวใหญ่ เนื้อดี และสดมาก” ฝ่ายหญิงตอบ 
“คุณชอบกินส่วนไหนของกุ้งล่ะ”ด็อกเตอร์สถาปนิกถามต่อ
“ชอบกินมากที่สุดส่วนหัว ใครไม่รู้จักกินหัวกุ้ง ถือว่าคนนั้นกินกุ้งไม่เป็น” ฝ่ายหญิงพูดติดตลก คาดไม่ถึง เรื่องราวที่เกิดตามมาทำให้ฝ่ายหญิงขำไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ เพราะสถาปนิกหนุ่มถือคำพูดของฝ่ายหญิง “ชอบกินส่วนหัวกุ้ง” เป็นจริงเป็นจัง และประพฤติตามนั้นทุกประการ 

ด็อกเตอร์สถาปนิกจะเด็ดส่วนหัวของกุ้งเผาทุกตัวใส่จานสะอาดแยกให้กับฝ่ายหญิง ส่วนลำตัวของกุ้งนั้น เขารับหน้าที่กินเอง เพราะเขาชอบกินเนื้อส่วนลำตัวกุ้งมาก เป็นอันว่าไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบ เพราะต่างกินในส่วนที่ชอบมากที่สุดของกุ้งเผาในจานนั้น

“คุณคิดดู ด็อกเตอร์นั้นกินกุ้งหมดทั้งจานเลย เหลือแต่หัวกุ้งให้ดิฉัน ไม่เหลือกุ้งที่เป็นตัวครบๆเลยแม้สักตัวหนึ่ง เขาไม่รู้หรือว่าส่วนหัวกุ้งที่เหลือไว้ในจานทั้งหมดนั้น เทียบได้กับเศษอาหารที่ทิ้งไว้ ถึงแม้ฉันจะชอบกินหัวกุ้ง แต่ก็ชอบกินกุ้งทั้งตัวเหมือนกัน” ฝ่ายหญิงโทรมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังในวันหนึ่ง 

คิดไม่ถึงว่ามันสมองระดับด็อกเตอร์จะไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆแค่นี้ หรือเป็นเพราะเขาเรียนจบจากต่างประเทศ จึงเป็นคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมา ใครที่ได้ทราบเรื่องราวข้างต้น คงเดาได้ว่าตอนจบเป็นเช่นไร

สำหรับเรื่องราวของด็อกเตอร์รายที่ ๓ นี้
เป็นเรื่องเล่าจากพี่ชายของด็อกเตอร์เอง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับข้าพเจ้า ที่จะช่วยแนะนำเพื่อนหญิงให้ เขาเป็นหนุ่มวัยกลางคน กตัญญูและขยันทำมาหากินมาก เรียนจบจากประเทศอังกฤษ ตอนที่อยู่อังกฤษ เขาต้องทำงานหาเงินเรียนหนังสือ จึงทำให้มีนิสัยประหยัดอย่างมาก เวลาไปจีบผู้หญิง ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ (ตามภาษาของด็อกเตอร์) คือ “TAKE A WALK” เพราะเวลาของด็อกเตอร์มีค่าเป็นเงินเป็นทอง 

ดังนั้นส่วนใหญ่ของค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการจีบสาว จึงเป็นเพียงการให้ “เวลา” เดินทอดน่องอย่างช้าๆ คุยกันอย่างมีสาระ ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก ณ สถานที่รื่นรมแห่งใดแห่งหนึ่ง อาจมีการรับประทานอาหารข้างถนนเล็กๆน้อยๆพอหอมปากหอมคอ แล้วก็พาเพื่อนหญิงไปส่งบ้าน สำหรับการรับประทานอาหารตามภัตตาคาร ด็อกเตอร์บอกว่า “แพงเกินความจำเป็น การเสียเงินจำนวนมากเพื่อ “กินบรรยากาศ” ตามภัตตาคาร ไหนเลยจะสู้บรรยากาศธรรมชาติจริงๆได้”

มีผู้หญิงหลายคนที่โชคร้ายได้ไปนั่งรับประทานอาหารตามข้างถนน ซึ่งมีผ้าใบกั้นแดดฝน แล้วเผอิญฝนตกลงมา ละอองฝนกระเด็นเปื้อนกระโปรงและรองเท้า ฝ่ายหญิงขอให้เขาพาไปร้านอาหารตามภัตตาคาร แต่ด็อกเตอร์กลับเร่งเร้าให้รีบๆรับประทาน และพาไปส่งบ้านในทันที โดยอ้างว่า “บรรยากาศไม่ดี เอาไว้วันหลังค่อยออกมาเดินเล่นใหม่” ใครได้ฟังเหมือนดังข้าพเจ้า คงตัดสินใจได้ว่า ควรแนะนำเพื่อนหญิงให้ดีไหม

ข้าพเจ้าคิดว่า ไม่มีผู้หญิงคนใดเลือกผู้ชายที่มีพฤติกรรมจีบสาวดังที่เล่ามา ถึงแม้ผู้หญิงบางคนหลงผิดยอมแต่งงาน สุดท้ายก็ต้องหย่าขาดแยกทางไป เนื่องจากผู้หญิงสมัยใหม่แตกต่างจากผู้หญิงสมัยก่อนค่อนข้างมาก

ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวหรืออยู่ในลักษณะ “ตั้งรับ” เหมือนกับผู้หญิงสมัยก่อน เจ้าหล่อนสามารถตอบโต้ผู้ชายได้อย่างเจ็บแสบ ลักษณะของผู้หญิงสมัยนี้คือ มีการศึกษา กล้า ท้าทาย และไม่ปิดตัวเอง ชายใดที่คิดจะเลือกเป็นคู่ครอง ต้องไม่มองข้ามสิ่งทีอยู่เบื้องหลังความงาม

เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าไปจอดรถ ณ ที่จอดรถแห่งหนึ่ง เผอิญข้างๆรถของข้าพเจ้า มีรถเก๋งอีกคันหนึ่งจอดอยู่ก่อน ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตว่ามีใครนั่งอยู่ในรถ จึงได้วางสิ่งของไว้ที่กระโปรงรถข้างท้ายของรถคันนั้น ผู้หญิงภายในรถคันนั้นได้เปิดประตูออกมา และด่าว่าเสียยกใหญ่ ข้าพเจ้าได้แต่กล่าวคำ “ขอโทษ” และเดินจากไปอย่างเงียบๆ หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อย และได้ย้อนกลับมาเพื่อเอารถออก ปรากฏว่ามีกระดาษปิดอยู่หน้ากระจก เขียนข้อความว่า “สันดาน” คำกล่าวนี้ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่มีขี้อายอีกต่อไป 

ข้าพเจ้าเป็นหมอรักษาภาวะมีบุตรยาก พบเห็นคู่สมรสที่มารักษาส่วนใหญ่อายุมากๆทั้งนั้น หลายคู่อายุเกิน ๔๐ ปี บางคู่อายุเกิน ๕๐ ปี เมื่อสอบถามดู หลายคู่ตอบว่าแต่งงานช้า กว่ากามเทพจะดลใจ ชีวิตวัยล่วงเลยมามากไปแล้ว 

แต่ก่อนวงการแพทย์เข้าใจว่า อายุของฝ่ายชายไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ปัจจุบันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ และสภาพจิตใจของผู้ชายยุคปัจจุบัน มีผลทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการสร้าง “อสุจิ” โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน ๕๐ ปี ซึ่งถึงแม้จำนวนเชื้ออสุจิไม่ลดลง แต่คุณภาพเชื้ออสุจิลดลงตามอายุอย่างแน่นอน 

เพราะฉะนั้น ผู้ชายเองไม่ควรแต่งงานช้าจนเกินไป ใครจีบสาวไม่เป็น ใช่ว่าจะหมดโอกาสมีครอบครัว ดูข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง ซึ่งบางทีกลับเป็นข้อดีอีกด้วย แต่ถ้าจีบสาวเป็นก็ยิ่งดี เพราะชีวิตคู่จะได้เริ่มต้นตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว และไม่เป็นปัญหาในด้านการรักษามากนัก ขออย่างเดียว อย่าใช้พฤติกรรมจีบสาวเหมือนดังด็อกเตอร์ที่เล่ามาข้างต้น 

ข้าพเจ้าเป็นคนที่จีบผู้หญิงไม่เป็น แต่เป็นคนที่ใจเย็นและสุขภาพจิตดี จริงๆแล้วข้าพเจ้าไม่เคยจีบผู้หญิงสำเร็จสักราย แม้กระนั้นสุดท้ายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุข กับผู้หญิงที่เรียนจบจากประเทศไต้หวัน เมื่ออายุล่วงเลยไปถึงวัยกลางคน ข้าพเจ้าคิดว่าที่ข้าพเจ้าได้แต่งงานคงเนื่องด้วยอาศัยความเป็นเพื่อน และความจริงใจแบบผู้ใหญ่ มากกว่าการจีบผู้หญิงแบบหนุ่มวัยรุ่น 

การจีบสาวนั้นไม่ใช่ทางเดียวในการมีชีวิตคู่ ชีวิตคู่ที่มีความสุขต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน ซึ่งบางทีความรักที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน อาจดีกว่าที่เริ่มต้นจากการจีบกันตามแบบฉบับของหนุ่มสาว ข้าพเจ้าเคยจีบผู้หญิงมามากมาย ทุกครั้งจบลงด้วยความผิดหวัง อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่เคยเสียใจที่จีบผู้หญิงไม่เป็น และแต่งงานช้าเมื่ออายุล่วงเลยถึง ๓๕ ปี เพราะการแต่งงานในวัยนี้ มีความพร้อมค่อนข้างมาก และเข้าใจชีวิตคู่ค่อนข้างดี 

ภรรยาข้าพเจ้าชอบพูดล้อเล่นว่า
“ดีนะคุณจีบผู้หญิงไม่เป็น ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก”
คำพูดนี้อาจเป็นคำปลอบใจ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดี ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุข และมีรอยยิ้มอยู่ในใจ 

พ.ต.ท.นพ. เสรี ธีรพงษ์ 

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563

กำลังใจให้ครู

 
 
เรื่อง กำลังใจให้ครู

คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป.๕ ของครูทั้งชั้นซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆเท่ากันหมดเลย แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆท่าทางขี้เกียจคนหนึ่งชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ 

ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีหนึ่ง และสังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆกับเด็กคนอื่นเท่าไหร่ เสื้อผ้าของเขาสกปรก และเขาตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ และบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วย ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจของเท็ดดี้ด้วยหมึกสีแดงกากบาทไปหนาๆ และใส่ตัวFตัวใหญ่ๆลงไปบนหัวกระดาษ 

ที่โรงเรียนที่ครูทอมป์สันสอน คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย
และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้ จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย แต่ทันใดนั้นเมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลยครับ

เมื่อพบว่าครูชั้น ป.๑ ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า
“น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว”
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.๒ เขียนว่า
“เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหาเพราะแม่ของเท็ดดี้กำลังป่วยหนัก และชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.๓ เขียนว่า
“เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรักความสนใจเขาเท่าไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆถ้าไม่มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือ”
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.๔ เขียนว่า
“เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคม และไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร ไม่ค่อยมีเพื่อนและหลับในห้องเรียน"

ตอนนี้คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอายในการกระทำของตนเองมาก
คุณครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้ ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่เท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆในกระดาษลูกฟูกหนาๆที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว

ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดูกลางกองของขวัญอื่นๆ
เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลืออยู่ก้นขวดแก่ครู แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็กๆ เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใด แล้วสวมมันไว้ที่ข้อมือ และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย

เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ รออยู่ในโรงเรียนในช่วงเย็นหลังเลิกเรียนเพื่อที่จะพบครูทอมสัน แล้วพูดว่า “ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ”
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมง
วันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียน และเลิกสอนคณิต คุณครูเริ่มสอนเด็กๆแทน

คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น
ภายในหนึ่งปี เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน แต่เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น “ศิษย์โปรด” ของครู

หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้ บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี
หกปีต่อมา ครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบ ม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต
สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆนี้ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง(เหรียญทอง) และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตของเขา

จากนั้นสี่ปีผ่านไป จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา
ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่า คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์ 

เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ
คือว่าฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายอีก เท็ดดี้บอกว่าเขาได้เจอสาวคนหนึ่งและก็จะแต่งงานกัน เขาได้อธิบายว่า พ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อน และเขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สันจะยอมตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่
แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น

คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก และฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน
ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า
“ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญ และแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้”

ครูทอมป์สันกระซิบบอกพร้อมน้ำตานองหน้าว่า
“หมอเท็ดจ๊ะ เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครูว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ ครูไม่รู้จักการสอน จนกระทั้งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ”

เติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้
คุณจะมีโอกาสได้สัมผัส และ/หรือ เปลี่ยนอนาคตของคนอื่นเสมอ ขอให้คุณสัมผัสและเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นในทางที่ดีด้วยล่ะ

เครดิต: Forward Mail

 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้