จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

๗ วิธีคิดอย่างคนเก่ง

 
 
เรื่อง ๗ วิธีคิดอย่างคนเก่ง 

การเป็นคงเก่งไม่ใช่ความโชคดีของพันธุกรรมหรอกนะ อยู่ที่การฝึกขัดเกลาสมองและหัวใจของคุณต่างหาก แล้วคุณจะมีความปราดเปรื่องในแบบฉบับของคุณ เป็นคนเก่งที่สามารถจัดการกับชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว

๑. คิดในทางบวกมองโลกในแง่ดี 
และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถที่จะจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างอยู่มือ

๒. มีศรัทธาในตัวเอง
ถ้าแม้แต่ตัวคุณเองยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนละจะเชื่อในความเก่งของคุณ อยากให้ใครๆเขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจในตัวเอง

๓. ขอท้าความฝัน
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัวหรอกนะ ความกระหายอันแรงกล้าที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมายนั่นแหละ เป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้

๔. ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใครก็ได้ที่คุณชื่นชม เพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิดวิธีการทำงานจุดเด่นในตัวเขา เผื่อว่าเราจะได้ไอเดียแจ๋วๆมาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวโลดสู่ความสำเร็จกับเขาบ้าง

๕. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส
คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้างให้ใครๆอยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจาติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จมากกว่าคนที่หน้าตาแบกโลกนะ นอกจากนี้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นอ๋องที่ทำให้เราดูเป็นวัยสะรุ่นตลอดกาล รู้อย่างนี้แล้วหัดติดรอยยิ้มไว้ที่มุมปากกันเป็นประจำ

๖. เรียนรู้จากความผิดพลาด
ก็สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไรแล้วยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่และเปิดใจให้กว้างยอมรับความจริง หันมาทบทวนดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไปเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

๗. ทะนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
คงไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุขโดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะ แม้ว่าในชีวิตแต่ละวันของคุณจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ที่รู้จักมักจี๋กันมานานซะบ้าง แวะไปหากันเมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด ส่งการ์ดปีใหม่หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้ เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงาเศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนแสนซี้ไว้พึ่งพาและให้กำลังใจกันได้นะ

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

คนที่ใช่กว่า

 
 
เรื่อง คนที่ใช่กว่า 

เรามีเรื่องของคู่รัก ๒ คู่ มาเล่าให้ฟัง ทั้ง ๒ คู่ต่างก็เป็นคู่รักที่รักกันมาก ดูแลเอาใจใส่และเข้าอกเข้าใจกันมานาน ๗-๘ ปี เป็นคู่รักที่คนรู้จักต่างก็แน่ใจว่าอีกไม่นานก็คงได้ยินข่าวดีจากคู่รัก ๒ คู่นี้แน่ๆ แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นกับคู่รักทั้ง ๒ คู่

เมื่อฝ่ายชายก็ได้พบใครใหม่ที่คิดว่า “ใช่” มากกว่า ผู้หญิงคนใหม่ที่สวยกว่าและมีเสน่ห์มากกว่า  ฝ่ายชายตัดสินใจคบดูใจด้วยโดยที่ยังไม่เลิกกับคู่รักเดิม ยิ่งคบเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่ ผู้หญิงคนใหม่ที่คบกันมา ๒-๓ เดือน กับคนรักคนเดิมใน ๗-๘ ปีที่ผ่านมา เริ่มถ่วงดุลน้ำหนักที่เท่ากันบนตาชั่งการตัดสินใจของเขา ทายสิว่าชายหนุ่มทั้งคู่เลือกใคร 

เขาทั้งคู่เลือกผู้หญิงคนใหม่ สิ่งที่ผู้ชายทั้งคู่ต่างหยิบยกมากล่าวถึงก็คือ คนรักคนเดิมที่เคยคบด้วย มีอะไรบางอย่างที่เขาไม่ค่อยชอบใจ อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวบางประการ แต่ในขณะที่คบกันมานั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เขาพอรับได้เมื่อเทียบกับความดีอื่นๆที่เธอทำให้เขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักอย่างหมดใจที่เธอมีให้เขา แต่วันหนึ่งที่พบผู้หญิงคนใหม่ อะไรที่เคยทนได้ก็กลับทนไม่ได้ขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงคนใหม่ไม่ได้มีข้อเสียในจุดนั้นเหมือนคนรักเก่า

แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่ ผู้ชายคนที่ ๑
ถูกคนรักของเขาจับได้เองว่าเขามีผู้หญิงคนใหม่ และเมื่อเขาบอกว่าเขาเลือกผู้หญิงคนใหม่ เขาให้เหตุผลว่า “เขาดีกว่าคุณทุกอย่าง เขาคอยดูแลผม เขาเข้าใจผม (และที่สำคัญเขาสวยกว่าและใหม่กว่าคุณด้วย)”

ส่วนผู้ชายคนที่ ๒
เลือกสารภาพกับคนรักว่า “ผมเป็นคนผิดเองที่นอกใจคุณ แต่คนที่ผมเลือกก็เป็นเขา ขอโทษนะ ผมผิดเอง ขอโทษจริงๆ”

ถ้าถามว่าถ้าต้องเลือกระหว่างการปฏิบัติของผู้ชาย ๒ คนนี้ แบบไหนที่ดูเป็น “ลูกผู้ชาย” มากกว่ากัน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ถ้ามีทางเลือก ผู้หญิงเราคงไม่เลือกสักทาง จริงไหม เพราะถ้าเราเลือกได้จริงๆ เราก็ขอเลือกให้เขามีเราคนเดียวมากกว่า เราเชื่อว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ (อาจจะไม่ทุกคนแต่ก็เชื่อว่าเป็นจำนวนมาก) ต้องการมากที่สุดในการตัดสินใจที่จะรักและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับใครสักคนแล้วก็คือ ความ “จงรัก” และ “ภักดี”

คุณทมยันตีเคยกล่าวถึงคำทั้ง ๒ คำไว้ และเราสรุปเป็นใจความได้ว่า 
“จงรัก” อาจจะมากมายในวัยหนุ่มสาว อาจจะร้อนแรง อาจท่วมท้นในยามแรกรัก แต่วันหนึ่งอาจจะจืดจางได้ตามกาลเวลา แต่คนรักคู่ใดๆในโลกก็มักเริ่มชีวิตคู่ด้วยคำๆนี้ 
แต่ “ภักดี” นั้นชั่วชีวิต ความจงรักหรือความรักนั้น เราเชื่อว่ามันไม่เข้มข้นร้อนแรงตลอดไปก็จริง แต่มันคงเหลืออวลไอเป็นใยบางๆไว้ตราตรึงใจบ้างกระมังในยามที่เราหวนนึกถึงมัน แต่การที่คนสองคนอยู่กันมานานแสนนานขนาดนี้ ย่อมต้องมีความผูกพันความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจซึ่งกันและกันบ้างไม่มากก็น้อย

สิ่งที่เราเห็นจากคู่รักทั้ง ๒ คู่ก็คือ ฝ่ายชายหมดความ “จงรัก” ลงไป
แต่ความรู้สึกอื่นๆล่ะ ความผูกพันของคนสองคน ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าอกเข้าใจที่เคยมี มันไม่เหลือพอที่จะผูกใจเขาให้อยู่กับเราแล้วหรือ คู่รักทั้ง ๒ คู่ เป็นคู่ที่เรารู้จักดีทั้ง ๒ คู่ ตอนที่เขารักกัน เขาก็รักกันมาก เขาดูแลกันเป็นอย่างดี ตอนนี้เมื่อถึงจุดแตกหัก เราพอรู้ว่าฝ่ายหญิงจะเป็นอย่างไร พอเข้าใจว่าผู้หญิงที่รักและภักดีต่อชายเพียงอย่างเดียวจะรู้สึกอย่างไร ผู้หญิง ๑ ใน ๒ คนนี้บอกกับฝ่ายชายตอนที่เขามาขอเลิกว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่กับคุณก่อน จะอยู่ดูแลคุณอีกสักพัก เพราะตอนนี้คนรอบข้างคุณและเพื่อนๆของเราไม่ค่อยมีใครอยู่ข้างคุณแล้ว พอเพื่อนๆของเรายอมรับผู้หญิงคนใหม่ของคุณได้แล้ว ฉันจะไป”

แต่ฝ่ายชายเราไม่รู้ตอนนี้เขาจะคิดอย่างไร อาจจะกำลังมีความสุขกับผู้หญิงคนใหม่ ความรักอาจกำลังท่วมท้น อาจกำลังวางแผนสร้างอนาคตที่สดใสกันอยู่ เขาอาจจะมีความรักที่รุ่งโรจน์กว่าที่ผ่านมาก็เป็นได้ เราก็หวังแต่ว่าวันหนึ่งเขาคงจะไม่เจอคนที่ “ใช่มากกว่า” อีก เพราะนั่นหมายถึง ผู้หญิงที่ต้องเสียใจจะเพิ่มขึ้นอีก ๒ คน ถ้าเราคิดจะมองหาคนที่ถูกใจ คนที่ “ใช่” คุณเชื่อไหมว่า เราหาได้เกือบชั่วชีวิต แต่คนที่จะตรงใจคุณจริงๆ ๑๐๐% นั้นไม่มีหรอก นอกจากคุณจะหยุดความต้องการที่ไม่มีข้อสิ้นสุดของตัวเองลง 

เราเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการบอกว่าใครผิดใครถูก แต่ต้องการให้คุณหยุดคิดสักนิดว่าอะไรในชีวิตที่คุณต้องการ อะไรที่เป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่ากัน มนุษย์เราหากจะรักและคิดจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร ก็คงต้องการเพียงแค่ “เพื่อนคู่ชีวิต” สักคน คนที่อยู่กับเราเสมอ ไม่ว่ายามทุกข์ยากลำบาก หรือผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน คนที่มองเห็นข้อเสียและข้อผิดพลาดของคุณ แต่ก็ยังรักและยังให้อภัยคุณเสมอ คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณ แม้คุณจะกลายเป็นตาแก่หัวล้านพุงยานหนังเหี่ยว เขาก็พร้อมที่จะแก่เฒ่าไปพร้อมกับคุณ แต่คนที่ว่ามานี้คุณมักลืมเขาในยามที่คุณยังมีความสุขอยู่ ในยามที่ชีวิตของคุณยังเป็น “ผู้เลือก” ที่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้ถูกเลือกได้อยู่ ในยามที่คุณยังมีหน้าตา มีเครื่องประกอบชีวิตที่เป็นที่สนใจจากคนเหล่านั้นอยู่ คุณอาจจะต้องนึกถึงเขาอีกทีในยามที่คุณไม่มีใครแล้ว ในยามที่คนที่คุณคิดว่า “ใช่” เขาก็ไปกับคนใหม่ที่เขาก็คิดว่า “ใช่” มากกว่าคุณเหมือนกัน 

เราขออวยพรให้ความรักของทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขสมหวัง ขอขอบคุณจากใจจริง

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

คนตัดไม้

 
 
เรื่อง คนตัดไม้

มีคนตัดไม้คนหนึ่งนำฟืนไปขายให้แก่ร้านขายฟืน ซึ่งร้านขายฟืนก็ปฏิบัติต่อคนตัดไม้ดีมาก ดังนั้นคนตัดไม้จึงคิดอยากตอบแทนโดยการจะตัดไม้ให้ได้เป็นจำนวนมากๆ 

ในวันแรกคนตัดไม้ตัดไม้ได้ ๒๐ ต้น แล้วนำมาให้ร้านขายฟืน ซึ่งร้านขายฟืนก็ชมเชยและปฏิบัติต่อคนตัดไม้อย่างดี แต่พอในวันที่ ๒ คนตัดไม้ก็ตั้งใจจะตัดให้ได้มากขึ้น แต่ปรากฏว่าตัดไม้ได้เพียง ๑๘ ต้น ในวันรุ่งขึ้นก็ว่าจะตัดให้ได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็กลับเหลือ ๑๖ ต้น ยิ่งนับวันผ่านไปเรื่อยๆ ก็ตัดได้น้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดคนตัดไม้ก็รู้สึกละอายใจ จึงไปกล่าวคำขอโทษกับทางร้านขายฟืน แต่เจ้าของร้านขายฟืนก็กลับถามคนตัดไม้ว่า

“คุณลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”

คนตัดไม้ตอบว่า 
“ผมไม่มีเวลาหยุดลับขวานเลย เพราะขนาดไม่หยุดยังตัดไม้ได้น้อยขนาดนี้”

ซึ่งเจ้าของร้านก็บอกแก่คนตัดไม้ว่า 
“คุณลองคิดดูสิว่า หากคุณหยุดลับขวานให้คม โดยเสียเวลาเพียงเล็กน้อย คุณอาจตัดไม้ได้มากกว่านี้ก็ได้”

นิทานเรื่องนี้อาจเปรียบได้กับการทำงาน ถ้าคุณก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่หยุดพักหยุดคิดเลย คุณก็เปรียบได้กับคนตัดไม้ แล้วคุณก็จะล้าลงไปเรื่อยๆ 

เครดิต: Forward Mail

 
 


วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

คนที่ใช่

 
 
เรื่อง คนที่ใช่

สักวันเราจะเจอ “คนที่ใช่” อย่างที่ตอนเด็กๆเราเคยบอกว่า จะไม่แต่งงานกับคนที่ไม่ชอบฟังเพลงโปรดเหมือนเรา เราจะไม่ไปกับคนที่ไม่คลั่งไคล้ในสิ่งที่เราคลั่งไคล้ เราจะไม่สนคนที่ไม่ชอบทีมแมนยูฯ แต่ในที่สุด ถึงแม้เราอาจจะเจอคนๆนี้จริง แต่เราก็อาจมีเหตุผลบางอย่างที่ต้อง “ปล่อย” เขาไป สักวันเราอาจจะเจอคนที่ไม่หัวเราะเวลาที่เราพูด ไม่ชื่นชมในสิ่งที่เราทำ คนที่ไม่หลงใหลในสิ่งที่เราหลงใหล แต่เราก็ยังรักเขาอยู่ดี


มีคำคมอันหนึ่งบอกว่า
“เพื่อให้เห็นความจริงแท้ บางครั้งเราต้องให้ความรักทำให้เราตาบอด”
ฉันเห็นว่าคงจะจริง เพราะในความตาบอด บางอย่างมันก็มีความกระจ่างชัด ปัญหาอยู่ที่ว่า ไม่ว่าตาจะบอดหรือดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่า “เขาคือคนที่ใช่หรือไม่”


น้องสาวฉันเล่าเรื่องหนึ่งให้ฉันฟังว่า 
มีชายคนหนึ่งได้พบกับแฟนเก่า แล้วเขาก็รู้สึกว่าเขายังรักเธอมากเหลือเกิน แต่เขาก็มีแฟนคนปัจจุบันแล้ว ซึ่งรักและดีกับเขามาทุกอย่าง ชายหนุ่มสับสนมาก มีเพื่อนแนะนำว่า โลกเดี๋ยวนี้นะความรักอย่างเดียวกินไม่ได้ ให้เขียนข้อดีข้อเสียของแต่ละคนออกมา แล้วเปรียบเทียบว่าจะเลือกใครสิ ชายหนุ่มเขียนข้อดีของแฟนปัจจุบัน ซึ่งมีเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสวยกว่า น่ารักกว่า ใจดีกว่า เอาใจใส่มากกว่า ฐานะดีกว่า การศึกษาดีกว่า สรุปว่าดีกว่าแฟนเก่าทุกอย่าง พอมาเขียนข้อดีของแฟนเก่า มีข้อดีกว่าแฟนปัจจุบันเพียงข้อเดียวเท่านั้นก็คือ “เธอคือคนที่ใช่”


“ความรัก” อาจโบยบินจากหัวใจเราออกไปอย่างอิสระเสรี แต่ใครคือบุคคลที่เราควรจะรัก หรือจะรักอย่างอิสระเสรี เพื่อไปเจอคนที่เขาไม่ได้คิดอย่างเราแล้วก็หักอกเรา ทำให้เราเสียศรัทธา หรือเราจะรักอย่างเพลย์เซฟ เพื่อให้ไม่เจ็บเกิน แต่ก็ไม่ได้ความรักในปริมาณที่เราต้องการอีก เรื่องน่าปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเราจะตัดสินใจเองไม่ไหว ฉันคิดว่ามนุษย์จะปล่อยให้ลัทธิพรหมลิขิตเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หมายถึงว่าปล่อยให้มันเป็นไป ให้พระเจ้ากำหนดเถิด ปลอบใจตัวเองว่า ถ้าเขาเป็นของเราเขาก็จะกลับมา นั่นจึงทำให้ลัทธิ “คู่วิญญาณ” หรือ Soul Mate ได้รับความสนใจมากในเมืองนอก และแผ่ลามมาถึงเมืองไทยเมื่อหลายปีที่ผ่านมา 


หนังเรื่อง When Harry Met Sally หนังดังเรื่องหนึ่งของ นอร่า เอฟร่อน นักเขียนบทเกี่ยวกับความรักที่มีชื่อเสียง ตอนท้ายเรื่องมีการระบุไว้ทำนองว่า
“อย่าลืมนะที่ตอนเด็กๆคุณเคยตั้งมาตรฐานความรักกับคนรักไว้เช่นไร พรหมลิขิตใช้ไม่ได้ทุกครั้งหรอก ถ้าคุณเจอคนที่ใช่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน รีบหิ้วเขาใส่ถุงกลับบ้านด้วย เพราะในชีวิตคุณ จะไม่เจอคนอย่างนี้บ่อยๆ” 

เครดิต: Forward Mail

 
 


บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้