จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563

ความรักในอีกมุมมองหนึ่ง

 
 
เรื่อง ความรักในอีกมุมมองหนึ่ง

ลองอ่านดูสำหรับคนที่ยังไม่มีความรัก เอามาให้อ่านกันกับความรักในอีกแง่มุมหนึ่ง ยาวหน่อยแต่ดีเพื่อนข้าพเจ้ามีหลายคนที่เรียนด็อกเตอร์ ถึงปัจจุบันนี้อายุเกิน ๔๐ ปี ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ใช่ว่าเพื่อนด็อกเตอร์ข้าพเจ้าหน้าตาไม่ดี ขี้เหล่ หรือหยาบคาย แต่ละคนรูปร่างสูงสง่า หน้าตาใช้ได้ และเงินเดือนค่อนข้างดี แต่เหตุที่ไม่ได้แต่งงานเป็นเพราะอะไร เรื่องที่จะเล่าต่อไปคงบอกเหตุผลได้


ก่อนอื่นอยากพูดถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับคู่ครองของด็อกเตอร์ที่ข้าพเจ้ารู้จัก ว่าชอบวาง “กรอบคุณสมบัติ” ของผู้หญิงในอุดมคติไว้เสียเลิศเลอจนเกินไป เช่น ต้องสวย รวย เก่ง นิสัยดี หรือเป็นหมอ อะไรทำนองนี้ แค่คุณสมบัติใดคุณสมบัติหนึ่งที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ก็ไม่ใช่หาง่ายๆในชีวิตธรรมดาเช่นเราๆ

ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า “ชีวิตคู่เป็นเรื่องของวาสนา ไม่ควรไปดิ้นรนค้นหาจนเดือดร้อนตนเองและผู้อื่น”

มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนจบด็อกเตอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง รายได้สูงมากๆ ใครๆก็ชมว่าเป็นอัจฉริยะ เพราะทำงานทุกอย่างสำเร็จรวดเร็ว เขามีอายุราว ๔๕ ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว สวมใส่แว่นตาตลอดเวลา ลักษณะท่าทางเป็นคนมีความรู้ 

วันหนึ่งข้าพเจ้าได้จัดงานเลี้ยงแนะนำทำความรู้จักระหว่างด็อกเตอร์คนนี้ กับผู้หญิงสาวหน้าตาดีเพื่อนของภรรยาที่ภัตตาคารมีชื่อแห่งหนึ่ง ที่ไหนได้นัด ๑ ทุ่ม เวลาร่วงเลยจนถึง ๒ ทุ่มครึ่ง ฝ่ายชายถึงจะมา เมื่อนั่งลงสนทนา กลับไม่กล่าวคำขอโทษที่มาช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อฝ่ายหญิง ปากพร่ำพูดแต่ว่า งานออฟฟิศยุ่งยังไง คอมพิวเตอร์มีปัญหาอะไร ทั้งยังไม่ทักทาย ไม่ถามชื่อฝ่ายหญิง รวมทั้งสภาพของผมบนศีรษะก็ไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าสกปรกและยับยู่ยี่

ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจคิดว่า “เอ๊ะ เราแนะนำเพื่อนหญิงให้ ทำไมจึงไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย ผมเผ้าไม่หวี การแนะนำครั้งนี้กระทำอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ทำเล่นๆ” ฝ่ายหญิงรู้สึกว่าฝ่ายชายไม่ให้เกียรติ แต่ข่มใจไม่พูดอะไรออกมา 

ข้าพเจ้าอยากจะให้ด็อกเตอร์คุยกับฝ่ายหญิงบ้าง จึงพยายามพูดจาเปิดทางให้อยู่หลายครั้ง แต่เวลาด็อกเตอร์พูด เขาจะพูดเฉพาะเรื่องงานของตัวเอง พูดเล่าอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่สนใจเรื่องอื่น และไม่นำพาต่อสีหน้าท่าทางของผู้ฟัง เขาคงคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก แท้จริงเป็นสิ่งที่หน้าเบื่อในความรู้สึกของคนอื่น ข้าพเจ้าพยายามพูดเตือนด็อกเตอร์เป็นนัยอยู่บ่อยๆ แต่ดูเหมือนด็อกเตอร์นั้นจะไม่เข้าใจในเจตนา เขายังคงพูดจาคนเดียวต่อไปอย่างเมามัน สร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับทุกคนตลอดช่วงเวลาของอาหารค่ำ

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้ด็อกเตอร์ไปส่งฝ่ายหญิงกลับบ้าน ในใจคิดว่าได้ทำหน้าที่แม่สื่อดีที่สุดแล้ว

เวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วยาม ญาติทางฝ่ายหญิงได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า และเล่าว่า “ด็อกเตอร์คนนี้แย่มาก หลังจากเดินทางออกจากภัตตาคารเพื่อส่งน้องสาวดิฉัน แทนที่จะขับตรงมาส่งที่บ้าน กลับแวะไปออฟฟิศของเขาก่อน บอกว่าจะขึ้นไปเพียงครู่เดียว แต่หายไปนานมาก น้องสาวของดิฉันเห็นว่าครึ่งชั่วโมงแล้วเขายังไม่มา รู้สึกอดรนทนไม่ได้ จึงเปิดประตูรถเดินออกมาเพื่อเรียกแท็กซี่ โชคไม่ดีแถวนั้นมีหมาดุอยู่ตัวหนึ่ง พอหมาเห่า น้องสาวดิฉันตกใจวิ่งหนี เลยถูกหมากัด เมื่อขึ้นรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล หมอต้องทำแผลอยู่นาน และฉีดยาป้องกันบาททะยักให้ด้วย น่าเจ็บใจจริงๆ เธอขอให้ช่วยโทรมาบอกว่า ต่อไปผู้ชายคนนี้ ไม่ต้องพามาให้เห็นหน้า”

เพื่อนด็อกเตอร์อีกคนหนึ่ง เป็นสถาปนิกออกแบบ เรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับคนแรก สถาปนิกท่านนี้มีออฟฟิศเป็นของตัวเอง ลักษณะหน้าตาของด็อกเตอร์คนนี้จัดว่าดี ท่าทางเรียบร้อยเป็นสุภาพบุรุษมาก เขามาชอบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของข้าพเจ้า ฝ่ายหญิงก็มีใจชอบเขาอยู่ ทั้งสองจึงคบหากัน แรกๆเวลาไปไหนจะไปเป็นกลุ่ม เมื่อคุ้นเคยกันพอสมควร ทั้งสองจึงนัดรับประทานอาหารกันเอง ที่ภัตตาคารอาหารทะเลแห่งหนึ่ง อาหารทะเลที่สั่งมารับประทานมีหลากหลาย อาหารมีชื่ออย่างหนึ่งของภัตตาคารแห่งนั้นคือ กุ้งก้ามกรามเผา ซึ่งคนทั้งสองสั่งมาหนึ่งกิโล จานที่สั่งมีกุ้งอยู่ถึง ๒๐ ตัว

“คุณชอบกินกุ้งใช่ไหม” ด็อกเตอร์สถาปนิกหนุ่มถาม
“ชอบมากค่ะ กุ้งที่นี่ตัวใหญ่ เนื้อดี และสดมาก” ฝ่ายหญิงตอบ 
“คุณชอบกินส่วนไหนของกุ้งล่ะ”ด็อกเตอร์สถาปนิกถามต่อ
“ชอบกินมากที่สุดส่วนหัว ใครไม่รู้จักกินหัวกุ้ง ถือว่าคนนั้นกินกุ้งไม่เป็น” ฝ่ายหญิงพูดติดตลก คาดไม่ถึง เรื่องราวที่เกิดตามมาทำให้ฝ่ายหญิงขำไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ เพราะสถาปนิกหนุ่มถือคำพูดของฝ่ายหญิง “ชอบกินส่วนหัวกุ้ง” เป็นจริงเป็นจัง และประพฤติตามนั้นทุกประการ 

ด็อกเตอร์สถาปนิกจะเด็ดส่วนหัวของกุ้งเผาทุกตัวใส่จานสะอาดแยกให้กับฝ่ายหญิง ส่วนลำตัวของกุ้งนั้น เขารับหน้าที่กินเอง เพราะเขาชอบกินเนื้อส่วนลำตัวกุ้งมาก เป็นอันว่าไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบ เพราะต่างกินในส่วนที่ชอบมากที่สุดของกุ้งเผาในจานนั้น

“คุณคิดดู ด็อกเตอร์นั้นกินกุ้งหมดทั้งจานเลย เหลือแต่หัวกุ้งให้ดิฉัน ไม่เหลือกุ้งที่เป็นตัวครบๆเลยแม้สักตัวหนึ่ง เขาไม่รู้หรือว่าส่วนหัวกุ้งที่เหลือไว้ในจานทั้งหมดนั้น เทียบได้กับเศษอาหารที่ทิ้งไว้ ถึงแม้ฉันจะชอบกินหัวกุ้ง แต่ก็ชอบกินกุ้งทั้งตัวเหมือนกัน” ฝ่ายหญิงโทรมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังในวันหนึ่ง 

คิดไม่ถึงว่ามันสมองระดับด็อกเตอร์จะไม่เข้าใจเรื่องง่ายๆแค่นี้ หรือเป็นเพราะเขาเรียนจบจากต่างประเทศ จึงเป็นคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมา ใครที่ได้ทราบเรื่องราวข้างต้น คงเดาได้ว่าตอนจบเป็นเช่นไร

สำหรับเรื่องราวของด็อกเตอร์รายที่ ๓ นี้
เป็นเรื่องเล่าจากพี่ชายของด็อกเตอร์เอง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับข้าพเจ้า ที่จะช่วยแนะนำเพื่อนหญิงให้ เขาเป็นหนุ่มวัยกลางคน กตัญญูและขยันทำมาหากินมาก เรียนจบจากประเทศอังกฤษ ตอนที่อยู่อังกฤษ เขาต้องทำงานหาเงินเรียนหนังสือ จึงทำให้มีนิสัยประหยัดอย่างมาก เวลาไปจีบผู้หญิง ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ (ตามภาษาของด็อกเตอร์) คือ “TAKE A WALK” เพราะเวลาของด็อกเตอร์มีค่าเป็นเงินเป็นทอง 

ดังนั้นส่วนใหญ่ของค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการจีบสาว จึงเป็นเพียงการให้ “เวลา” เดินทอดน่องอย่างช้าๆ คุยกันอย่างมีสาระ ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก ณ สถานที่รื่นรมแห่งใดแห่งหนึ่ง อาจมีการรับประทานอาหารข้างถนนเล็กๆน้อยๆพอหอมปากหอมคอ แล้วก็พาเพื่อนหญิงไปส่งบ้าน สำหรับการรับประทานอาหารตามภัตตาคาร ด็อกเตอร์บอกว่า “แพงเกินความจำเป็น การเสียเงินจำนวนมากเพื่อ “กินบรรยากาศ” ตามภัตตาคาร ไหนเลยจะสู้บรรยากาศธรรมชาติจริงๆได้”

มีผู้หญิงหลายคนที่โชคร้ายได้ไปนั่งรับประทานอาหารตามข้างถนน ซึ่งมีผ้าใบกั้นแดดฝน แล้วเผอิญฝนตกลงมา ละอองฝนกระเด็นเปื้อนกระโปรงและรองเท้า ฝ่ายหญิงขอให้เขาพาไปร้านอาหารตามภัตตาคาร แต่ด็อกเตอร์กลับเร่งเร้าให้รีบๆรับประทาน และพาไปส่งบ้านในทันที โดยอ้างว่า “บรรยากาศไม่ดี เอาไว้วันหลังค่อยออกมาเดินเล่นใหม่” ใครได้ฟังเหมือนดังข้าพเจ้า คงตัดสินใจได้ว่า ควรแนะนำเพื่อนหญิงให้ดีไหม

ข้าพเจ้าคิดว่า ไม่มีผู้หญิงคนใดเลือกผู้ชายที่มีพฤติกรรมจีบสาวดังที่เล่ามา ถึงแม้ผู้หญิงบางคนหลงผิดยอมแต่งงาน สุดท้ายก็ต้องหย่าขาดแยกทางไป เนื่องจากผู้หญิงสมัยใหม่แตกต่างจากผู้หญิงสมัยก่อนค่อนข้างมาก

ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวหรืออยู่ในลักษณะ “ตั้งรับ” เหมือนกับผู้หญิงสมัยก่อน เจ้าหล่อนสามารถตอบโต้ผู้ชายได้อย่างเจ็บแสบ ลักษณะของผู้หญิงสมัยนี้คือ มีการศึกษา กล้า ท้าทาย และไม่ปิดตัวเอง ชายใดที่คิดจะเลือกเป็นคู่ครอง ต้องไม่มองข้ามสิ่งทีอยู่เบื้องหลังความงาม

เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าไปจอดรถ ณ ที่จอดรถแห่งหนึ่ง เผอิญข้างๆรถของข้าพเจ้า มีรถเก๋งอีกคันหนึ่งจอดอยู่ก่อน ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตว่ามีใครนั่งอยู่ในรถ จึงได้วางสิ่งของไว้ที่กระโปรงรถข้างท้ายของรถคันนั้น ผู้หญิงภายในรถคันนั้นได้เปิดประตูออกมา และด่าว่าเสียยกใหญ่ ข้าพเจ้าได้แต่กล่าวคำ “ขอโทษ” และเดินจากไปอย่างเงียบๆ หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อย และได้ย้อนกลับมาเพื่อเอารถออก ปรากฏว่ามีกระดาษปิดอยู่หน้ากระจก เขียนข้อความว่า “สันดาน” คำกล่าวนี้ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่มีขี้อายอีกต่อไป 

ข้าพเจ้าเป็นหมอรักษาภาวะมีบุตรยาก พบเห็นคู่สมรสที่มารักษาส่วนใหญ่อายุมากๆทั้งนั้น หลายคู่อายุเกิน ๔๐ ปี บางคู่อายุเกิน ๕๐ ปี เมื่อสอบถามดู หลายคู่ตอบว่าแต่งงานช้า กว่ากามเทพจะดลใจ ชีวิตวัยล่วงเลยมามากไปแล้ว 

แต่ก่อนวงการแพทย์เข้าใจว่า อายุของฝ่ายชายไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ปัจจุบันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ และสภาพจิตใจของผู้ชายยุคปัจจุบัน มีผลทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการสร้าง “อสุจิ” โดยเฉพาะเมื่ออายุเกิน ๕๐ ปี ซึ่งถึงแม้จำนวนเชื้ออสุจิไม่ลดลง แต่คุณภาพเชื้ออสุจิลดลงตามอายุอย่างแน่นอน 

เพราะฉะนั้น ผู้ชายเองไม่ควรแต่งงานช้าจนเกินไป ใครจีบสาวไม่เป็น ใช่ว่าจะหมดโอกาสมีครอบครัว ดูข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง ซึ่งบางทีกลับเป็นข้อดีอีกด้วย แต่ถ้าจีบสาวเป็นก็ยิ่งดี เพราะชีวิตคู่จะได้เริ่มต้นตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว และไม่เป็นปัญหาในด้านการรักษามากนัก ขออย่างเดียว อย่าใช้พฤติกรรมจีบสาวเหมือนดังด็อกเตอร์ที่เล่ามาข้างต้น 

ข้าพเจ้าเป็นคนที่จีบผู้หญิงไม่เป็น แต่เป็นคนที่ใจเย็นและสุขภาพจิตดี จริงๆแล้วข้าพเจ้าไม่เคยจีบผู้หญิงสำเร็จสักราย แม้กระนั้นสุดท้ายก็ได้แต่งงานอย่างมีความสุข กับผู้หญิงที่เรียนจบจากประเทศไต้หวัน เมื่ออายุล่วงเลยไปถึงวัยกลางคน ข้าพเจ้าคิดว่าที่ข้าพเจ้าได้แต่งงานคงเนื่องด้วยอาศัยความเป็นเพื่อน และความจริงใจแบบผู้ใหญ่ มากกว่าการจีบผู้หญิงแบบหนุ่มวัยรุ่น 

การจีบสาวนั้นไม่ใช่ทางเดียวในการมีชีวิตคู่ ชีวิตคู่ที่มีความสุขต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน ซึ่งบางทีความรักที่เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน อาจดีกว่าที่เริ่มต้นจากการจีบกันตามแบบฉบับของหนุ่มสาว ข้าพเจ้าเคยจีบผู้หญิงมามากมาย ทุกครั้งจบลงด้วยความผิดหวัง อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่เคยเสียใจที่จีบผู้หญิงไม่เป็น และแต่งงานช้าเมื่ออายุล่วงเลยถึง ๓๕ ปี เพราะการแต่งงานในวัยนี้ มีความพร้อมค่อนข้างมาก และเข้าใจชีวิตคู่ค่อนข้างดี 

ภรรยาข้าพเจ้าชอบพูดล้อเล่นว่า
“ดีนะคุณจีบผู้หญิงไม่เป็น ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก”
คำพูดนี้อาจเป็นคำปลอบใจ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดี ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุข และมีรอยยิ้มอยู่ในใจ 

พ.ต.ท.นพ. เสรี ธีรพงษ์ 

เครดิต: Forward Mail

 
 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้