จองโรงแรมกับ Traveloka สบายใจกว่า

Translate

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ความรักคือการให้อภัย

 
 
เรื่อง ความรักคือการให้อภัย


“Love is to forgive, not to forget”
นี่คือคำพูดที่พระเอก Woody Harrelson พูดกับนางเอก Demi Moore ในหนังเรื่อง Indecent proposal ซึ่งเป็นคำพูดที่ประทับใจผมจนถึงทุกวันนี้ และผมจะนึกถึงทุกครั้งเวลาที่ผมมีปัญหาทะเลาะกับภรรยา มันทำให้ผมยอมง้อเธอก่อนเสมอ ไม่ว่าเธอจะถูกหรือผิด ผมคิดว่าในเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ควรจะยอมรับและยอมให้อภัยกันได้ในทุกๆเรื่อง 

ขออนุญาต Copy ข้อความของชายผู้หนึ่งมาให้คนที่ยังไม่ได้อ่าน ลองอ่านดูนะครับ
มันให้ความรู้สึกที่ดีมากสำหรับผม

ผมในฐานะผู้ชายเนี่ยเข้าใจเป็นอย่างดีเลยครับ เรื่องการถูกทำร้ายความไว้เนื้อเชื่อใจมันเจ็บปวดขนาดไหน ผมเคยประสบมากับตัวเองเลยเต็มๆ กับภรรยาคนปัจจุบันของผมเนี่ยแหละ หนักกว่าคุณนัก ผมก็เคยถามเธอนะครับว่าเธอเคยผ่านผู้ชายมาหรือเปล่า เป็นการถามเล่นๆไม่ได้ติดใจอะไรเพราะผมไม่ถือเรื่องนี้หรอก ผมโตที่เมืองนอกครับเลยถือเป็นธรรมดา ที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่าหญิงไทยยังคงเป็นแบบสมัยก่อนหรือสมัยใหม่ เธอก็ตอบตามตรงว่าเคย และถามว่าผมจะยังรักเธอไหม ผมก็หัวเราะและตอบว่า มันเกี่ยวกับรักด้วยเรอะ รักก็รักเหมือนเดิมสิ ไม่เห็นแปลกเลย ถามเล่นๆอย่าไปซีเรียสน่า

แล้วเราก็แต่งงานกัน ๒ ปีผ่านมา ผมก็ได้พบความจริงบางอย่างที่ทำให้ผมถึงกับต้องลาออกจากงานและไปบวชเลย เธอเคยทำแท้งครับ ผมเพิ่งทราบจริงๆ เธอไม่เคยบอกเลย ผมก็ไม่เคยติดใจสงสัยอะไร แม้เธอจะไม่ได้โกหกผมเหมือนอย่างที่แฟนคุณโกหก และเธอปิดบังผม ที่ผมรู้เพราะมีครั้งหนึ่งที่ผมดีใจนึกว่าเธอท้อง เลยพาไปตรวจครรภ์ หมอก็คุยเรื่อยเปื่อยว่าอ๋อยังไม่ท้องหรอก อย่างนั้นอย่างนี้ และมีประโยคหนึ่งที่ผมสะดุด คือหมอพูดว่า

"ดีแล้วครับที่สงสัยว่าจะท้องแล้วรีบพามาตรวจ เพราะมดลูกที่เคยผ่านการบำบัดพิเศษมาแล้ว หากท้องอีก อาจเป็นอันตรายเพราะเสี่ยงกับทั้งแม่และเด็กมากๆ ยังไงถ้าท้องก็รีบพามาตรวจนะครับ รับรองว่าหมอจะดูแลเป็นพิเศษเลย ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะหากแม่และเด็กได้รับการดูแลภายใต้แพทย์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีปัญหาครับ"
(หมอท่านนี้ไม่ทราบอะไรมาก่อนครับ เพราะเพิ่งมาตรวจกันครั้งแรกตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ หมออาจจะเดาเอาว่าผมรู้แล้ว)

ผมก็งงๆ ทีแรกนึกว่าเธออาจเคยประสบอุบัติเหตุกระเทือนต่อมดลูก หรืออาจเคยเป็นเนื้องอกแล้วผ่าตัดมา ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เลยถามภรรยาระหว่างขับรถกลับบ้านว่า "มดลูกเคยมีปัญหาใช่ไหม" ผมถามเพราะห่วงนะครับ ไม่ได้สงสัยอะไรเลย แต่เธอตกใจทันทีและร้องไห้ออกมา ขอโทษขอโพยที่ปิดบังมาตลอดและเล่าเรื่องทั้งหมด (เธอคงนึกว่าผมรู้แล้วและมาถามเอาเรื่อง) ผมก็อึ้งเลยครับ ๒ ปีที่ผ่านมานี่ผมเป็นควายหรืออย่างไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น

เธอบอกว่าสมัยเรียนเมืองนอก เธอเคยมีเพื่อชายชาวญี่ปุ่นและอยู่ด้วยกัน (ซึ่งอันนี้ผมรู้แล้วและไม่ถือครับ) ต่อมาก็ห่างๆกันไป เธอมารู้ตัวว่าท้องก็หลังจากเพื่อนชายคนนั้นกลับประเทศไปแล้ว เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงขอ Drop เรียน และย้ายเมืองเพื่อไม่ให้ใครรู้ และไปทำแท้งที่ต่างเมือง แล้วจึงกลับมาเรียนต่อ คนรอบข้างก็ไม่มีใครสงสัย เพราะเธอบอกว่าย้ายไปหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อประกอบ Thesis จะมีก็แต่ครอบครัวเท่านั้นที่รู้ เพราะแม่บินตามมาเฝ้าพยาบาลเธอด้วย

กลับมาถึงบ้านเธอก็ร้องไห้อ้อนวอนขอโทษ ถึงกับกอดแข้งกอดขากราบเท้าอย่าให้เราแยกกัน ผมในตอนนั้นหัวมันตื้อเพราะช็อกก็ไม่ได้ยินอะไรเลย จำได้แค่ว่าตัวลอยๆ เดินไปเก็บเสื้อผ้าและขับรถออกจากบ้านไป ผมไม่รู้จะไปไหน เลยติดต่อเพื่อนที่อยู่แถบอีสานขอพักด้วยสักระยะ เพื่อนก็ตกลงเพราะเห็นว่าผมคงมีทุกข์มา และก็ไม่ว่าไม่ถามอะไร ผมเลยจัดแจงลาออกจากงาน และไปอาศัยบ้านเพื่อนครับ สักพักผมก็ทนไม่ได้ครับ เลยไปบวชที่วัดแถวๆนั้น เพื่อนก็ถามว่าแล้วทางบ้านทางภรรยารู้หรือเปล่าว่าจะบวช ผมก็บอกว่ามีปัญหากันนิดหน่อย แต่ทางนั้นทราบแล้วว่าผมอยู่ที่นี่ (จริงๆผมไม่ได้บอกใครเลยครับ) 

เวลาผ่านไปผมก็เริ่มสงบลง เมียผมและครอบครัวผมคงทราบจากเพื่อนว่าผมมาบวชอยู่ที่นี่ ก็ตามมาโน้มน้าวให้กลับบ้าน แม่ก็มาขอร้อง แต่ตอนนั้นผมต้องการสงบครับ ผมก็ตอบว่าถึงเวลาจะกลับไปจัดการทุกอย่างเอง ขออย่าให้ทุกคนเป็นห่วง เมียผมเองก็เพียรอ้อนวอนจนอ่อนใจ และทำใจจึงกลับไป ผมบวชเรียนอยู่เกือบปี 

อยู่มาวันหนึ่งเจ้าอาวาสก็เรียกเข้าไปคุยว่า
"เมื่อยามมีทุกข์ก็ได้มาผ่อนทุกข์ของตนเองแล้ว บัดนี้เห็นว่าสงบลงและมีสติขึ้นมาก คุณจะเห็นควรกลับไปบรรเทาทุกข์ให้คนข้างหลังหรือไม่ อาตมาไม่ได้ขับไล่เพียงแต่แนะนำ สุดแล้วแต่การตัดสินใจเถิด" 
ผมเองก็มีสติขึ้นจากการบวชว่าผมหลบมาคนเดียวนี่ผมปลงทุกข์ของตนแล้ว แต่คนข้างหลังคงยังมีทุกข์ ผมเลยสึกครับ พอสึกแล้วก็พักอยู่บ้านเพื่อนอีก ๒-๓ วัน นั่งสมาธิทุกคืน เมื่อมีสติก็คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆได้ชัดเจนครับ ว่าเธอเป็นภรรยาที่ดีของผมมาตลอดไม่เคยบกพร่อง เป็นห่วงเป็นใยช่วยเหลือตั้งแต่สมัยเป็นแฟน เคยดีอย่างไรแต่งแล้วก็ยังดีเหมือนเดิมทุกประการ ผมเลยกลับบ้านครับ ก็หวั่นๆอยู่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง และจะพร้อมกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่

เมื่อถึงบ้านและพบเธอ เธอดูซูบไปมาก ใบหน้าหมองคล้ำ เธอไม่แสดงอาการอะไรนอกจากถามผมเหมือนทุกครั้งที่ผมกลับบ้านว่า เหนื่อยไหม หิวหรือยัง จะอาบน้ำก่อนหรือทานข้าวก่อน เธอเตรียมกับข้าวไว้แล้ว (ผมมารู้ทีหลังว่าตั้งแต่ผมจากไป เธอยังคงทำกับข้าวรอผมทุกวัน เพราะเผื่อวันใดผมกลับมา จะได้มีอาหารพร้อมไม่ต้องนั่งหิวรอ) ผมน้ำตาไหลเลยครับ พูดไม่ออก คว้าเธอมากอดและขอโทษ ครั้งนี้ผมลงกราบเท้าขอโทษเธอ เหมือนครั้งที่เธอเคยกราบอ้อนวอนผมมาก่อน เพราะผมรู้สึกว่าผมทำร้ายของล้ำค่าของผมได้อย่างไร ผมปล่อยให้เธอจมอยู่กับความทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว โดยผมหนีไปหาความสงบคนเดียวได้อย่างไร ผมเป็นสามีที่เห็นแก่ตัวมากๆ เธอไม่โกรธเลย เธอยิ้มรับผม เราต่างกอดกันร้องไห้ทั้งคืนโดยไม่พูดอะไรเลย มันสื่อกันด้วยความรู้สึกนะครับ ไม่มีคำต่อว่าจากปากเธอแม้แต่คำเดียว ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา 

ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วครับ เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ ๔ ปีแล้ว ตอนนี้เธอท้องแล้วครับ ผมอัลตร้าซาวด์แล้ว ผมกำลังจะมีลูกชายครับ ผมดีใจมากและทุกวันนี้ก็ภูมิใจมากที่มีศรีภรรยาคนนี้มาเป็นแม่ของเจ้าตังค์ (แอบตั้งชื่อไว้ก่อนน่ะครับ แบบว่าเห่อ) เราสองคนไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องนั้นอีกเลย มีเพียงแต่ว่าทุกสัปดาห์จะไปวัดด้วยกันและทำบุญตักบาตร แผ่เมตตาให้แก่ลูกคนแรกของเธอครับ 

ผมเล่ามานี่ก็เพื่ออยากให้คุณคิดได้และเข้าใจว่าหลังพายุเนี่ย ถ้าเราผ่านมันไปได้ หลังจากนั้นก็คือท้องฟ้าที่สงบและสดใสครับ ผมไม่สามารถรับรองได้หรอกว่าทุกท่านจะโชคดีเหมือนอย่างคู่ผม แต่ผมขออวยพรนะครับ ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งทุกคนต้องผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ และพบกับสิ่งดีงามครับ

เครดิต: Forward Mail

 
 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมในเดือนนี้